ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ราชอาณาจักรอิตาลี (Kingdom of Italy) เพิ่งจะก่อเกิดและรวมชาติกันใหม่อีกครั้งและโลกรู้จักกันในนามของราชอาณาจักรอิตาลี
ราชาอาณาจักรอิตาลีในปี 1861-1946 |
ราชอาณาจักรอิตาลีได้มีการสถาปนาขึ้นในปี 1861 จากการรวมตัวกันของรัฐอิตาลีหลายๆ
รัฐภายใต้การนำของราชอาณาจักรชาร์ดิเนีย และดำรงอยู่ตราบจนถึงปี 1946
เมื่อประชาชนชาวอิตาลีได้มีการลงประชามติให้มีการเปลี่ยนผ่านการปกครองจากระบบราชอาณาจักรไปสู่ความเป็นสาธารณรัฐ
การรวมชาติของอิตาลีในระยะแรกอาจจะยังไม่สงบดีนัก
แต่เมื่อมาถึงปี 1870 การเมืองในอิตาลีก็เริ่มนิ่งลงเมื่อพวกเสรีนิยมเข้ามามีอำนาจ
ยุคเสรีนิยม (ค.ศ. 1870-1914) หลังจากการรวมชาติ
ทิศทางการเมืองของประเทศอิตาลีเป็นไปในวิถีทางของลัทธิเสรีนิยม สิทธิในทางการเมืองถูกกระจายออกเป็นส่วนๆ
และนายกรัฐมนตรีหัวอนุรักษนิยม มาร์โค มิเจตตี
ก็ได้รักษาอำนาจในตำแหน่งของตนไว้ด้วยการออกนโยบายเชิงปฏิวัติและและเอียงซ้าย(เช่น
การดึงเอากิจการรถไฟมาเป็นของชาติ) เพื่อเอาใจฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ในปี 1876
มิเจตตีได้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและแทนที่ด้วยอากอสติโนเดพรสติส ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสมัยแห่งเสรีนิยมอันยาวนาน
ยุคแห่งเสรีนิยมนี้เป็นที่จดจำจากการฉ้อราษฏร์บังหลวง รัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ
ภาวะความยากจนที่ยยังกำรงอยู่ในอิตาลีตอนใต้
และการใช้มาตรการแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยรัฐบาลอิตาลี
เดเพรสติสเริ่มวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลีโดยการริเริ่มทดลองแนวคิดทางการเมืองที่เรียกว่า
“ทรานสฟอร์มิสโม” (“Transformismo”แนวคิดปฏิรูปนิยม) หลักของแนวคิดนี้ก็คือ
คณะรัฐมนตรีควรเบือกนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ โดยต้องมีความหลากหลาย
และนักการเมืองที่เลือกมาต้องเป็นที่มีความสามารถและความเหมาะสมจากผู้ที่มีทัศนะไม่เป็นกลุ่มหัวรุนแรง
(non-partisan
perspective)
แต่ในทางปฏับติ
แนวคิดทรานสฟอร์มิสโมเป็นแนวคิดที่ผูกขาดแบบเบ็ดเสร็จและมีปัญหาการคอรัปชั่น
จูเซปเป การีบัลดี ผู้นำทางการทหารคนสำคัญในการรวมชาติอิตาลี |
เดเพรสติสได้กดดันให้บรรดาอำเภอต่างๆ
ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งของเขา เพื่อแลกกับการได้รับการผ่อนปรนอันเป็นที่น่าพอใจจากเดเพรสติสในขณะที่เขาอยู่ในอำนาจ
ผลการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1876 ปรากฏว่ามีผู้สมัครเพียง 4
คนจากพรรคการเมืองฝ่ายขวาเท่านั้นที่ได้รับเลือกตั้ง
อันเปิดการเปิดทางให้เดเพรสติสสามารถเข้าครอบงำรัฐบาลได้
เชื่อกันว่าการกดขี่และการฉ้อราษฏร์บังหลวงที่เกิดขึ้นในหลายคราวเป็นกุญแจสำคัญที่เดเพรสติสใช้จัดการเพื่อรักษาคะแนนเสียงสนับสนุนของเขาในอิตาลีตอนใต้
เดเพรสติสได้ใช้มาตรการเผด็จการเบ็ดเสร็จต่างๆ ในการบริหารบ้านเมือง
เช่นห้ามการชุมนุมในที่สาธารณะ การส่งตัวบุคคลที่เป็น “อันตราย” ไปเนรเทศในเกาะที่ห่างไกลของอิตาลี
และการออกนโยบายแบบทหารนิยม (militarist policies) เขายังได้ผ่านกฏหมายซึ่งนำมาสู่ความขัดแย้งในหลายคราว
เช่นการยกเลิกการจำคุกเพื่อใช้หนี้ การให้การศึกษาขั้นประถมศึกษาแบบให้เปล่า
และการบังคับให้เลิกการสอนวิชาศาสนาในโรงเรียนประถมศึกษา
ในปี 1887
ฟรันเชสโก คริสปี ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เขาได้เริ่มให้ความสำคัญกับนโยบายต่างประเทศ
เขาได้พยายามที่จะทำให้อิตาลีได้เป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจของโลกด้วยการเพิ่มงบประมาณทางการทหารสนับสนุสให้อิตาลีมีการขยายอาณาเขต
และพยายามเอาใจจักรวรรดิเยอรมนีอิตาลีได้เข้าร่วมกลุ่มไตรพันธมิตรทีมีทั้งจักรวรรดิเยอรมนีและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีเป็นสมาชิกอยู่ด้วยในปี 1882 และมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการจนถึงปี 1915
ในขณะที่คริสปีได้ช่วยพัฒนาอิตาลีในเชิงยุทธศาสตร์
เขาก็ยังคงบริหารบ้านเมืองตามแนวทางทรานสฟอร์มิสโมต่อไปด้วยความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดดังปรากฏว่าครั้งหนึ่งเขาคิดจะใช้กฏอัยการศึกในปิดกั้นพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม
แต่ถึงแม้เขาจะเป็นเผด็จการโดยการใช้อำนาจรัฐก็ตาม คริสปีก็ยังได้ออกนโยบายในเชิงเสรีนิยมออกมาบ้างเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น การตราพระราชบัญญัติการสาธารณสุขในปี 1888
หรือการก่อตั้งองค์คณะศาลเพื่อพิจารณาชดเชยสำหรับการใช้อำนาจโดยมิชอบจากรัฐบาล
เป็นต้น
สังคมของชาวอิตาลีหลังจากการรวมชาติและตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของยุคเสรีนิยม
เป็นไปในลักษณะของสังคมที่แบ่งแยกอย่างเด่นชัดทั้งในเรื่องของชนชั้น ภาษา ภูมิภาค
และระดับทางสังคม
โดยทั่วไปลักษณะทางวัฒนธรรมของอิตาลีในเวลานั้นเป็นสังคมแบบอนุรักษนิยมโดยธรรมชาติ
เช่น การเชื่อมั่นในคุณค่าของครอบครัวอย่างแรงกล้าหรือและค่านิยมของการนับถือบิดาเป็นใหญ่ในครอบครัว
ในการรวมชาติอิตาลีขึ้นมานั้น
ราชอาณาจักรแห่งใหม่นี้ก็พบเจอกับปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงและแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ตลอดจนไปถึงปัญหาทางการเมือง
สังคม และการแบ่งแยกชนชาติและชนขั้น ในช่วงยุคสมัยใหม่ของอิตาลีนี้สภาพทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศขึ้นอยู่กับการค้าขายจากต่างประเทศ
และการส่งออกถ่านหิน
และจากการรวมชาตินี้เอง
ทำให้อิตาลีกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการทำงานของประชาชนในภาคเกษตรกรรมมากที่สุดในแถบยุโรปถึง
60% ของประชากร และกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศ
ส่วนศาสนาจักรเองก็มีทรัพย์สินจำนวนมากมายจากการบริจาคในประเทศ
และยังมีการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศที่รุนแรงอีกด้วย
ทำให้ช่องทางและโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศในภาคเกษตรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วหลังจากการรวมชาติขึ้นมาได้ไม่นาน
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศทั้งหมดในช่วงระยะเวลานี้
ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมทางใต้ของอิตาลีต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนในช่วงฤดูร้อน,ความแห้งแล้ง,และไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตทางเกษตรได้
ซ้ำยังต้องเผชิญกับการระบาดของไข้มาลาเรียในพื้นที่เสื่อมโทรมตลอดทั้งชายฝั่งทะเลเอเดรียติก
เมื่อเกิดรัฐชาติที่ชัดเจนแล้ว
อิตาลีก็มีแนวความคิดเรื่องการล่าอาณานิคมไม่ต่างจากชาติอื่นๆ ในยุโรป
โครงการสร้างอาณานิคมจำนวนมากได้ผ่านการรับรองจากรัฐบาลอิตาลี
เพื่อแสวงหาการสนับสนุนจากกลุ่มชาตินิยมและจักรวรรดินิยมชาวอิตาลี
ชาวอิตาลีมีความคิดในเรื่องการจะสร้างจักรวรรดิโรมันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในเวลานั้นอิตาลีได้มีเขตที่ชาวอิตาลีได้ตั้งถิ่นฐานขนาดใหญ่อยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ไคโร และตูนิสบนทวีปแอฟริกาเหนืออยู่แล้ว ประเทศอิตาลีได้พยายามแสวงหาอาณานิคมครั้งแรกผ่านการเจรจากับชาติมหาอำนาจอื่นๆ เพื่อขอสัมปทานดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นอาณานิคมของอิตาลี ซึ่งการเจรจาดังกล่าวปรากฏว่าล้มเหลว นอกจากนั้น อิตาลียังได้ส่งมิชชันนารีไปยังดินแดนที่ยังไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมเพื่อสืบหาช่องทางที่จะยืดครองเป็นอาณานิคมของอิตาลี พื้นที่ที่อิตาลีมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างอาณานิคมของตนขึ้นได้จริงมากที่สุดก็คือทวีปแอฟริกา มิชชันนารีของอิตาลีได้เริ่มบุกเบิกการเผยแผร่ศาสนาที่เมืองมาสซาวา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเอริเทรีย) และเริ่มเดินทางลึกเข้าไปในจักรวรรดิเอธิโอเปียในช่วงทศวรรษที่ 1830
To be continue...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น