ตราประจำสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ของชาติสมัยที่เรียกว่า สมัยสาธารณรัฐที่ 3
ภาพการกฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 (ค.ศ. 1870 - 10 กรกฏาคม 1940) เป็นชื่อของระบอบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ระหว่างยุคจักรรดิฝรั่งเศสที่ 2 กับรัฐบาลฝรั่งเศสวิซี เกิดขึ้นหลังจากการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อจักรวรรดิเยอรมนี ในสงครามโฝรั่งเศส-ปรัสเซีย เมื่อปี 1870 และดำรงอยู่มาจนล่มสลายในปี 1940 จากการรุกรานของนาซีเยอรมนี ยุคนี้เป็นยุคของสาธารณฝรั่งเศสที่อายุยืนที่สุด นับตั้งแต่มีการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 เป็นต้นมา
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย
สงครามฝรั่งเศส - ปรัสเซีย หรือ ฟรังโก - ปรัสเซีย เกิดขึ้นมาเนื่องจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้ปรัสเซียทางการฑูตอยู่เสมอๆ และมีปัญหาเกี่ยวกับการสืบราชสมบัติในสเปน ฝรั่งเศสจึงตักสินใจประกาศสงครามกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้ ปรัสเซีย มีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้ฝรั่งเศสต้องเสียอัลซาซ-ลอร์เรนน์ให้แก่เยอรมนี ทั้งต้องเสียค่าปรับให้แก่เยอรมนีอีกถึงหนึ่งพันดอลลาร์อเมริกาซึ่งถือว่ามหาศาลในช่วงนั้น
ผลของสงครามครั้งนี้ยังส่งผลสำคัญอีกสงประการคือ
1.ชาวฝรั่งเศสได้ขับไล่พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ออกจากราชสมบัติ และร่วมก่อตั้ง สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ขึ้น
ภาพนโปเลียนที่ 3
2.ทำให้ ปรัสเซียเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรปและพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 ได้ประกาศจัดตั้งจักรวรรดิเยอรมนีขึ้น และสถาปนาตนเองเป็นขึ้นเป็น ไกลเซอร์ (จักรพรรดิ)แห่งเยอรมนี และสถาปนา บิสมาร์ค ให้เป็นเจ้าชายและอัครมหาเสนาบดี ณ พระราชวังแวร์ซายส์ ในปี 1871
ภาพระหว่างเยอรมนีเข้ายึดฝรั่งเศสในห้องกระจก ณ พระราชวังแวร์ซายส์
ด้วยการกำเนิดสาธารณรัญฝรั่งเศสที่ 3 เป็นการเกิดขึ้นมาในยุคของความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกจึงถือได้ว่าเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสก้าวเข้าสู่ความอ่อนแออีกครั้งหนึ่ง
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสของสาธารณรัฐที่ 3 ถูกร่างขึ้นและสำเร็จภายใต้ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายคือฝ่ายราชาธิปไตยและฝ่ายรีพับลิกันในปี 1875 โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดให้ประเทศมีประธานาธิบดี ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในการประชุมร่วมกันของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทุกๆ 7 ปี
ความพ่ายแพ้ในสงครามกับปรัสเซียอย่างย่อยยับทั้งที่ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสเคยมีสถานะเป็นมหาอำนาจ และมีอาณานิคมไพศาล ส่งผลกระทบต่อจิตใจชาวฝรั่งเศสอย่างมาก อีกทั้งยังต้องผผจญกับภัยวิบัติของการจลาจลภายใน และสภาพการณ์คอรัปชั่นของรัฐบาลกรณีขุดคลองปานามาอีก เหล่านี้แทบทำให้ชาวฝรั่งเศสในเวลานั้นแท้บสิ้นหวัง
ภาพการเปิดใช้คลองปานามาครั้งแรก
กระนั้นรัฐบาลของสาธารณรัฐที่ 3 ก็ได้พยายามเต็มที่ในการสนับสนุนและได้ส่งเสริมอุตสาหกรรม เห็นได้จากการสร้างรถไฟมากมายหลายสายอีกทั้งท่าเรือก็ได้รับการตกแต่งซ่อมแซมให้ดีขึ้นหลายแห่งอีกทั้งในปี 1878,1889 และในปี 1900 ได้มีการจัดงานแสดงสินค้าที่กรุงปารีส ซึ่งวัตุประสงค์ก็เพื่อส่งเสริมวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ต่างๆ รวมถึงการสนับสนุนธุรกิจจากการค้าภายในและภายนอกประเทศ
นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้เริ่มต้นขยายอาณานิคมขึ้นมาใหม่อีก โดยได้เข้ายึดเกาะมาดากัสการ์ ซึ่งอยู่นอกฝั่งทวีปแอฟริกาใต้ด้านตะวันออกเฉียงเหนือไว้เป็นดินแดนในอารักขา นอกจากนั้นยังยึดเอาดินแดนด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกาใกล้ๆ กับปากทางเข้าทะเลแดงไว้ได้อีกหลายแห่ง ขณะในทวีปเอเชียก็ยังขยายผลต่อเนื่องนับตั้งได้เริ่มต้นมาในสมัยนโปเลียนที่ 1
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในอนาคตของประเทศชาติขึ้นมาทั้งที่เวลานั้นอังกฤษและเยอรมนีเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม แต่ฝรั่งเศสกลับยังดำรงอยู่บนฐานของเกษตรกรรม มีอุตสาหกรรมหลักคือผ่าใหมและการทำไวน์ก็ไม่ได้ส่งผลหรือทำประโยชน์อะไรต่อประเทศมากมายนัก อีกทั้งเมื่อมีการเปิดใช้คลองสุเอชก็ทำให้สินค้าราคาถูกจากจีนหลั่งไหลเข้ามาในยุโรป พร้อมกันอิตาลีก็กลับเร่งผลิตสินค้าผ้าไหมออกมาตีตลาดฝรั่งเศสอีก ไม่เว้นแม้แต่ราคาไวน์ที่ตำต่ำลงเพราะสินค้าจากที่อื่น เช่นที่อเมริกาที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในยุโรปและราคาถูกมากกว่า ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจภายในเริ่มเกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นในเวลานั้นฝรั่งเศสยังถูกถือว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยอยู่
ดังนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝรั่งเศสแม้จะเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่มีความสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงประเทศที่ป่วยไข้จากปัญหาทั้งภายในและภายนอก
ในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 19 ประชาชนชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ได้มีเสียงในการบริหารบ้านเมืองของตน และมีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลดั่งเช่นอังกฤษและชาวอเมริกัน และแม้จะป่วยไข้อยู่บ้างดังที่ได้กล่าวมาแต่ก็ยังได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าฝรั่งเศสยังคงเป็นประเทศประชาธิปไตยชั้นนำในยุโรป อีกทั้งยังเป็นเจ้าจักรวรรดิทางทะเลที่มีอาณานิคมเขตครอบครองกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ ซึ่งจะเป็นรองก็เพียงแค่อังกฤษเท่านั้น
ภาพประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศษในช่วงศตวรรษที่ 19
สิ่งที่ติดอยู่ในใจของชาวฝรั่งเศสเสมอมาก็คือ ความต้องการอยากได้ อาลซาส-ลอร์เรนน์ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุอันเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่เป็นอย่างมากอยู่ แม้ฝรั่งเศสกับเยอรมนีจะลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพต่อกันก็เถอะ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในนามเท่านั้น ว่ากันว่าการที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อปรัสเซียในครั้งนั้น มีผลดีคือทำให้ฝรั่งเศสมีพัฒนาการไปในทางรวมเป็นเอกภาพเดียวกันยิ่งขึ้น ชาวฝรั่งเศสต่างภาคภูมิใจและถือว่าประเทศชาติของตนยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป และถือเสมอว่าวัฒนธรรมของตนเองดีเด่นที่สุดในโลกด้วย
ภาพแผนที่แสดงที่ตั้งของ อาลซาส-ลอร์เรนน์ ปัจจุบันเป็นของฝรั่งเศส
ภาพนโปเลียนผิดนะรูปนั้นเป็นโปเลียนที่ 1นะ ไม่ใช่3
ตอบลบ