นี่จะให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งจะสามารถไขข้อสงสัยของผู้อ่านที่กำลังจะศึกษา หรือเรื่อง
ที่สงสัยให้กระจ่างได้ครับ ขอบคุณความรู้ดีๆจากผู้เขียน คุณวีระชัย โชคมุกดา ไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ เพื่อไม่เป็นการทำให้เสียเวลาเรามาเริ่มกันเลยดีฟ่าครับ
ภาพแม่ลูกยืนดูซากบ้านตัวเองพังทลายผลจากสงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดจากความขัดแย้ง ที่รุกรามไปทั่วโลก หรือเรียกว่าระดับโลกเลยก็ว่าได้
สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1914 (พ.ศ.2457) ถึงปี 1918 (พ.ศ.2461)
โดยเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายมหาอำนาจไตรภาคี (พันธมิตร) หรือ (Triple Entente) ประกอบไปด้วย
-จักรวรรดิรัสเซีย
-ฝรั่งเศส
-จักรวรรดิบริเทน
-ราชอาณาจักรอิตาลี
-สหัฐอเมริกา และพันธมิตร
กับอีกฝ่ายที่ถูกเรียกว่ามหาอำนาจกลาง หรือไตรพันธมิตร (Triple Alliance) ประกอบไปด้วย
-ออสเตรีย-ฮังการี
-จักรวรรดิเยอรมนี
-ราชอาณาจักรบัลแกเรีย
ซึ่งการปะทะใหญ่ครั้งนี่ ไม่เคยปรากฏเป็นสงครามใหญ่ที่มีทหารหรือสมรภูมิที่เกี่ยวข้องมากขนาดนี่มาก่อน
ยุโรปก่อนสงครามโลก 1914
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นที่ขนานนามว่า "สงครามครั้งยิ่งใหญ่" (Great War) หรือ "สงคราเพื่อยุติสงครามทั้งมวล "(War to End All War) เพราะพบว่ามีทหารกว่า 70 ล้านคนมีส่วนร่วมในสมรภูมิรบ ผลจากสงครามทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตาย และสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคนเลยทีเดียว
ประวัติสงครามโลกก่อนสงครามโลกจะเริ่มขึ้น
โลกก่อนศควรรษที่ 20 เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด โดยสงครามโลกที่เกินขึ้นทั้ง 2 ครั้งนั้นมีที่มาที่ไปมาจากยุโรปอย่างที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ เพราะจริงๆแล้วยุโรป คือที่รวมของชาติ ที่กุมชะตากรรมของโลกเอาไว้อันเป็นผลมาจากความเจริญและการพัฒนาในหลากหลายด้านแบบก้าวกระโดดมากๆ กว่าทวีปอื่น และอย่างต่อเนื่องด้วย
ฉะนั้นก่อนเราจะเข้าศึกษาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 เราจำเป็นต้องมาย้อนดูสภาพของยุโรปก่อน
โดยการพัฒนาที่ก้าวล่ำมากของยุโรปคงหนีไม่พ้น "การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)"
การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ๆ อยู่ในบริเทนใหญ้
ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี นั้นล้วนเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยมีจุด
เริ่มต้นที่เครื่องจักรไอน้ำ ทำงานด้วยเครื่องจักร์อัตโนมัติ (สิ่งทอ)
เครื่องจักรอัตโนมัติในช่วงศตวรรษที่ 18-19
ด้วยความก้าวหน้าเทคโนโลยีนั้น และเศรษฐกิจนั้นจึงถูกผลักดันด้วยการสร้างเรือ เรือกำปั่น และ
ทางรถไฟ ที่อาศัยเครื่องจักรไอน้ำ โดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก ด้วยความเจริญเช่นนี่ได้แผ่ขยายไป
สู่ยุโรปตะวันตก และทวีปอเมริกาเหนือ และก็เริ่มแผ่ขยายส่งผลกระทบไปทั่วโลกในที่สุด
เรือที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำ
รถไฟเครื่องจักรไอน้ำ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจในยุโรปอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก
การค้นพบแหล่งพลังงานจากถ่านหินที่ราคาไม่แพง ทีมีเหลือเฟือส่งผลให้มีการขยายตัวของแรงงาน
อย่างมหาศาล ด้วยเครื่องจักรกล หรือเครื่องจักรไอน้ำที่เริ่มด้วยการปั่นด้าย การทอผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์
เป็นต้น กำลังการผลิตที่เพิ่มอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีระบบแบบโรงงานแบบใหม่ๆ ปรากฏการต่างๆทำให้เมืองต่างๆ
ในอังกฤษเริ่มจะแออัดไปด้วยอุตสาหกรรม
ความแออัดในเมืองใหญ่ของอังกฤษในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม
ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกตะวันตก ส่งผลให้
1.การเพิ่มจำนวนประชากร โดยเฉพาะอังกฤษและเยอรมนี มีอัตราการเพิ่มของประชากรที่
สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนืองจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจากเกษตรกรรม มาเป็นอุตสาหกรรม
เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง และความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์และสาธารณสุข
2.การขยายตัวของสังคมเมือง เกิดเมืองใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว จากการอพยพจากชนบทสู่
เมืองเพื่อเข้ามาทำงาน จึงทำให้เกิดความแออัดภายในเมือง และทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ อย่างมากมาย
ในขณะที่พ่อค้านายทุนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
3.เกิดการแสวงหาอาณานิคม และลัทธิจักรวรรดินิยม ประเทศยุโรปที่มีการปฏิวัติ
อุตสาหกรรม มีความจำเป็นต้องหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่ม เพื่อนำวัตถุดิบมาป้อนโรงงานอุตสาหกรรม และการ
ขยายตลาดระบายสินค้าที่ตนเองผลิต จึงทำให้เกิดการแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริกา
และทวีปเอเชียในที่สุด
ลัทธิชาตินิยมและการทหาร
ว่ากันว่าย่างเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 20 นั้นอิทธิพลชาตินิยมได้เกิดขึ้น ประชากรส่วนใหญ่ของ
แต่ละประเทศต่างคิดว่าและมองว่าประเทศของตนนั้นมีความยิ่งใหญ่ที่สุด และประเทศอื่นอ่อนด้อยกว่า
ตน โดยเริ่มมีการแสวงหาผลประโยชน์ให้ชาติของตนเองโดยไม่คำนึงถึงสิทธิและผลประโยชน์ของอีก
ฝ่าย เหตุเหล่านี่ได้นำไปสู่ความตึงเครียดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1
กล่าวกันว่าลัทธิชาตินิยมถือเป็นพลังแห่งการสร้างเสริม และทำลายในเวลาเดียวกัน
เพราะด้านหนึ่งมันช่วยรวมให้เกิดประเทศในยุโรปอย่างจริงจัง
และสัญลักษณ์อีกอย่างในสายตาของผู้นำ หรือชาวยุโรปในช่วงนั้นที่นอกจากความ
ก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจแล้ว มีอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "การทหาร" ประเทศที่เข้มแข็ง
ต้องมีกองทัพที่เข้มแข็งเกรียงไกร ในช่วงนั้นทั้งผู้นำประเทศ หรือแม้กระทั่งประชาชนก็พร้อมกันใจกัน
เห็นด้วยกับเรื่องนี่ จึงทำให้มีการเพิ่มงบประมาณทางการทหารเพื่อเสริมสร้างฐานะของตนเอง โดย
ประเทศผู้นำในเรื่องนี่คือ "เยอรมนี"
ภาพทหารเยอรมนีเดินสวนสนาม
จักรวรรดินิยมใหม่
อีกด้านหนึ่งอุดมการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องราวของลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกกระแสและนำมาใช้ก็กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดวิธีคิดและลัทธิชาตินิยมขึ้นมาอย่างมากในห้วงเวลานั้นดังนั้นเมื่อเป็นชาตินิยมแล้วย่อมหันหาผลปรโยชน์ ซึ่งส่งผลให้แต่ละชาติก่อร่างสร้างตัวเพื่อเข้าไปแสวงหาหรือกอบโกยผลประโยชน์ในชาติอื่น ดังนั้นผลต่อเนื่องของชาตินิยมก็คือ ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่
กล่าวคือ ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) เป็นแนวความคิดของชาติมหาอำนาจยุโรปที่จะขยายอำนาจ และอิทธิพลของตนเพื่อเข้าครอบครองดินแดนที่ล้าหลังและด้อยความเจริญในทวีปต่างๆ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น แหล่งวัตถุดิบ และตลาดระบายสินค้า ชาวยุโรปเข้ายึดดินแดนของชนชาติต่างๆ ในรูปของการล่าอาณานิคม (Colonization)
จักรวรรดินิยมยุคแรก เริ่มต้นตั้งแต่การสำรวจทางทะเลเมื่อคริสต์ศตวรรษ์ที่ 15 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีการค้นพบทวีปอเมริกา และการค้นพบเส้นทางเดินเรือไปทวีปเอเชียเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 สเปน และโปรตุเกสเป็นชาติผู้นำการสำรวจและค้นพบดินแดนใหม่ และได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ชาติทั้งสองเป็นอันมาก
สเปนเข้ายึดครองดินแดนในอเมริกาใต้ แล้วบรรทุกแร่เงินและทองคำจากโลกใหม่จำนวนมหาศาล
ส่วนโปรตุเกสมั่งคั่งจากการผูกขาดการค้าขายกับอินเดียและหมู่เกาะเครื่องเทศ ต่อมาการผูกขาดเส้นทางเดินเรือของสเปนและโปรตุเกสก็ถูกแข่งขันโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 สเปนและโปรตุเกสก็สูญเสียความยิ่งใหญ่ด้านการค้าและอาณานิคมให้แก่ อังกฤษ ฮอลันดา และฝรั่งเศส และเกิดการขัดผลประโยชน์ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส
ลัทธิจักรวรรดินิยม มีผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของประเทศต่างๆ มีดังนี่
1.ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองของโลกเขาสู่ภาวะตึงเครียด และนำไปสู่สงครามในที่สุด
2.ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการเข้ายึดดินแดนต่างๆ เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะนำอารยธรรมความเจริญไปเผยแพร่ยังดินแดนล้าหลังและห่างไกลความเจริญ ส่งผลให้ประชากรในดินแดนอาณานิคมเกิดการซีมซับในวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ความคิด และค่านิยมแบบตะวันตก
ผลที่เกิดขึ้นของจักรวรรดินิมยมใหม่ในศตวรรษที่ 19 ทำให้บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปประกาศความเป็นประเทศจักวรรดิพร้อมหน้า โดยแต่ละประเทศหรือแต่ละจักรวรรดิต่างก็แข่งขันกันสร้างเสริมอำนาจและบารมีของตัวเองให้กระจายกันไปทั่วโลก
ขณะที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอื่น คือไม่ใช่ยุโรปต่างก็ได้แค่ทำดีที่สุดคือพยายามทุกวิธีทางไม่ให้ตัวเองต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของบรรดาจักรวรรดิแห่งยุโรปนั้น...
การค้นพบแหล่งพลังงานจากถ่านหินที่ราคาไม่แพง ทีมีเหลือเฟือส่งผลให้มีการขยายตัวของแรงงาน
อย่างมหาศาล ด้วยเครื่องจักรกล หรือเครื่องจักรไอน้ำที่เริ่มด้วยการปั่นด้าย การทอผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์
เป็นต้น กำลังการผลิตที่เพิ่มอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีระบบแบบโรงงานแบบใหม่ๆ ปรากฏการต่างๆทำให้เมืองต่างๆ
ในอังกฤษเริ่มจะแออัดไปด้วยอุตสาหกรรม
ความแออัดในเมืองใหญ่ของอังกฤษในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม
ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกตะวันตก ส่งผลให้
1.การเพิ่มจำนวนประชากร โดยเฉพาะอังกฤษและเยอรมนี มีอัตราการเพิ่มของประชากรที่
สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนืองจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจากเกษตรกรรม มาเป็นอุตสาหกรรม
เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง และความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์และสาธารณสุข
2.การขยายตัวของสังคมเมือง เกิดเมืองใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว จากการอพยพจากชนบทสู่
เมืองเพื่อเข้ามาทำงาน จึงทำให้เกิดความแออัดภายในเมือง และทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ อย่างมากมาย
ในขณะที่พ่อค้านายทุนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
3.เกิดการแสวงหาอาณานิคม และลัทธิจักรวรรดินิยม ประเทศยุโรปที่มีการปฏิวัติ
อุตสาหกรรม มีความจำเป็นต้องหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่ม เพื่อนำวัตถุดิบมาป้อนโรงงานอุตสาหกรรม และการ
ขยายตลาดระบายสินค้าที่ตนเองผลิต จึงทำให้เกิดการแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริกา
และทวีปเอเชียในที่สุด
ลัทธิชาตินิยมและการทหาร
ว่ากันว่าย่างเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 20 นั้นอิทธิพลชาตินิยมได้เกิดขึ้น ประชากรส่วนใหญ่ของ
แต่ละประเทศต่างคิดว่าและมองว่าประเทศของตนนั้นมีความยิ่งใหญ่ที่สุด และประเทศอื่นอ่อนด้อยกว่า
ตน โดยเริ่มมีการแสวงหาผลประโยชน์ให้ชาติของตนเองโดยไม่คำนึงถึงสิทธิและผลประโยชน์ของอีก
ฝ่าย เหตุเหล่านี่ได้นำไปสู่ความตึงเครียดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1
กล่าวกันว่าลัทธิชาตินิยมถือเป็นพลังแห่งการสร้างเสริม และทำลายในเวลาเดียวกัน
เพราะด้านหนึ่งมันช่วยรวมให้เกิดประเทศในยุโรปอย่างจริงจัง
และสัญลักษณ์อีกอย่างในสายตาของผู้นำ หรือชาวยุโรปในช่วงนั้นที่นอกจากความ
ก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจแล้ว มีอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "การทหาร" ประเทศที่เข้มแข็ง
ต้องมีกองทัพที่เข้มแข็งเกรียงไกร ในช่วงนั้นทั้งผู้นำประเทศ หรือแม้กระทั่งประชาชนก็พร้อมกันใจกัน
เห็นด้วยกับเรื่องนี่ จึงทำให้มีการเพิ่มงบประมาณทางการทหารเพื่อเสริมสร้างฐานะของตนเอง โดย
ประเทศผู้นำในเรื่องนี่คือ "เยอรมนี"
ภาพทหารเยอรมนีเดินสวนสนาม
จักรวรรดินิยมใหม่
อีกด้านหนึ่งอุดมการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องราวของลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกกระแสและนำมาใช้ก็กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดวิธีคิดและลัทธิชาตินิยมขึ้นมาอย่างมากในห้วงเวลานั้นดังนั้นเมื่อเป็นชาตินิยมแล้วย่อมหันหาผลปรโยชน์ ซึ่งส่งผลให้แต่ละชาติก่อร่างสร้างตัวเพื่อเข้าไปแสวงหาหรือกอบโกยผลประโยชน์ในชาติอื่น ดังนั้นผลต่อเนื่องของชาตินิยมก็คือ ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่
กล่าวคือ ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) เป็นแนวความคิดของชาติมหาอำนาจยุโรปที่จะขยายอำนาจ และอิทธิพลของตนเพื่อเข้าครอบครองดินแดนที่ล้าหลังและด้อยความเจริญในทวีปต่างๆ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น แหล่งวัตถุดิบ และตลาดระบายสินค้า ชาวยุโรปเข้ายึดดินแดนของชนชาติต่างๆ ในรูปของการล่าอาณานิคม (Colonization)
จักรวรรดินิยมยุคแรก เริ่มต้นตั้งแต่การสำรวจทางทะเลเมื่อคริสต์ศตวรรษ์ที่ 15 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีการค้นพบทวีปอเมริกา และการค้นพบเส้นทางเดินเรือไปทวีปเอเชียเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 สเปน และโปรตุเกสเป็นชาติผู้นำการสำรวจและค้นพบดินแดนใหม่ และได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ชาติทั้งสองเป็นอันมาก
สเปนเข้ายึดครองดินแดนในอเมริกาใต้ แล้วบรรทุกแร่เงินและทองคำจากโลกใหม่จำนวนมหาศาล
ส่วนโปรตุเกสมั่งคั่งจากการผูกขาดการค้าขายกับอินเดียและหมู่เกาะเครื่องเทศ ต่อมาการผูกขาดเส้นทางเดินเรือของสเปนและโปรตุเกสก็ถูกแข่งขันโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 สเปนและโปรตุเกสก็สูญเสียความยิ่งใหญ่ด้านการค้าและอาณานิคมให้แก่ อังกฤษ ฮอลันดา และฝรั่งเศส และเกิดการขัดผลประโยชน์ระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส
ลัทธิจักรวรรดินิยม มีผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของประเทศต่างๆ มีดังนี่
1.ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองของโลกเขาสู่ภาวะตึงเครียด และนำไปสู่สงครามในที่สุด
2.ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการเข้ายึดดินแดนต่างๆ เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะนำอารยธรรมความเจริญไปเผยแพร่ยังดินแดนล้าหลังและห่างไกลความเจริญ ส่งผลให้ประชากรในดินแดนอาณานิคมเกิดการซีมซับในวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ความคิด และค่านิยมแบบตะวันตก
ผลที่เกิดขึ้นของจักรวรรดินิมยมใหม่ในศตวรรษที่ 19 ทำให้บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปประกาศความเป็นประเทศจักวรรดิพร้อมหน้า โดยแต่ละประเทศหรือแต่ละจักรวรรดิต่างก็แข่งขันกันสร้างเสริมอำนาจและบารมีของตัวเองให้กระจายกันไปทั่วโลก
ขณะที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอื่น คือไม่ใช่ยุโรปต่างก็ได้แค่ทำดีที่สุดคือพยายามทุกวิธีทางไม่ให้ตัวเองต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของบรรดาจักรวรรดิแห่งยุโรปนั้น...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น