หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของจักรวรรดิต่างๆ ที่สำคัญๆ
ที่จะมีบทบาทในสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ไป บทความหรือเนื้อเรื่องก็จะเริ่มเข้าใกล้ช่วงสงครามโลกเข้าไปทุกทีๆ
มาคราวนี้เราจะมาเรียนรู้และศึกษาของ การรวมกลุ่มพันธไมตรีก่อนสงคราม
ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอขอบคุณเจ้าของบทความจริงๆเลย ก็คือ ท่านวีระชัย โชคมุกดา ครับ
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
การรวมกลุ่มพันธมิตรไมตรีก่อนสงคราม
เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ยุโรปก็กลายเป็นเจ้าใหญ่นายโตของโลกไปแล้ว
ที่สำคัญอำนาจของยุโรปยังแพร่ลามขยายอิทธิพลของตัวเองออกไปเหนือบริเวณต่างๆ
ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยในบริเวณซีกโลกตะวันตกได้แก่สหรัฐอเมริกา แคนาดา
เม็กซิโก อเมริกากลางและอเมริกาใต้ก็ไม่ต่างกัน
วิถีและชีวิตแบบยุโรปได้แพร่ลามเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญวัฒนธรรมของยุโรปก็ยังเป็นรากฐานของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อีกด้วยเรียกว่าเวลานั้นกว่าครึ่งโลกไปแล้วที่วัฒนธรรมและวิธีคิดอย่างยุโรปกระจายเข้าไปมีอิทธิพลต่อผู้คน
แผนที่โลกประเทศที่ตกในอาณานิคมของชาติมาหาอำนาจในปี ค.ศ.1989 |
และว่ากันว่าอิทธิพลของยุโรปไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านั้นหากแต่ชนชาวยุโรปยังถือสิทธิเขาไปแบ่งปันเขตแดนในแถบทวีปแอฟริกาใต้
ทวีปเอเชีย รวมไปถึงบรรดาหมู่เกาะต่างๆ
ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกภาคกลางและภาคใต้มาเป็นของประเทศตัวเองแต่ละประเทศจำนวนมากมาย
เรียกได้ว่าเวลานั้นบรรดาประเทศสำคัญในยุโรปต่างแย่งกันเข้าครอบครองดินแดนของคนอื่นกันอย่างสนุกสนาน
ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้ประเทศคู่แข่งเห็นถึงศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิ์ของประเทศตัวเอง
และเพื่อความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ ทางการค้า และเพื่อการเผยแพร่ศาสนา
ถึงขั้นที่ช่วงเวลานั้นได้มีการระบายสีลงในแผนที่ให้เห็นกันเลยว่าสีนี้สีนั้นเป็นของประเทศนั้นจนเปรอะกันทั่วแผนที่โลก
ที่สำคัญการแพร่ลามอิทธิพลของชาวยุโรปในช่วงเวลานั้นใช่ว่าจะมีความรู้สึกสำนึกก็หาไม่หากแต่กลับคิดว่า
การที่ยุโรปเข้าไปยึดครองและแสวงหาผลประโยชน์ในแผ่นดินอื่นนั้นก็เพราะเป็นภาระที่ชาวยุโรปต้องช่วยนำนานาประโยชน์จากอรายธรรมยุโรปไปสู่บรรดาชนที่ล้าหลัง
ถือเป็นการช่วยให้ชนเหล่านั้นมีสภาพและโชคชะตาที่ดีขึ้น
ครั้งนั้นชาวยุโรปเรียกมันว่า “ภาระของชนผิวขาว”
วิธีคิดอย่างที่ว่านี้เกิดขึ้นมาจริงในช่วงที่ยุโรปกำลังบ้าอำนาจและกำลังเห่อเหิมกับการพัฒนาของตนเองที่วางอยู่บนพื้นฐานของการเข้าไปสูบเลือดสูบเนื้อประเทศอื่นๆเขา
แต่ก็ไม่นานนัก ทั้งนี้เพราะในเวลาต่อมาหลังจากที่ต่างคนต่างๆ ก็คิดเข้าไปสร้างบารมีและอิทธิพลของตัวเองแล้ว
หลังปี 1870 ประเทศปฏิปักษ์ต่อกันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นมานี้ก็มีที่มาจากการแก่งแย่งกันเป็นเจ้าของดินแดนต่างๆ
แย่งกันค้าขายในตลาดโลกซึ่งอำนวยผลกำไรให้อย่างมหาศาล
และรวมไปถึงการเบ่งใส่กันเองอวดบารมีกันเองตามเวทีการประชุมต่างๆ
ไตรพันธมิตรใน ค.ศ. 1913 แสดงในสีแดง |
เรียกว่าแข่งกันอวดบารมีและการแข่งกันหาเลห์หาเหลี่ยมมาใช้ในการเจรจากัน
ผลสุดท้ายปรากฏว่าบรรดาประเทศที่แช่เองได้มีการรวมตัวกันจนแยกออกเป็นสองฝ่าย
คือฝ่ายสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรมิตร กับฝ่ายสนธิสัญญาฉันทไมตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น