วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการณ์ทางการเมือง และสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอน วิกฤตการณ์ซาราเจโว

วิกฤตการณ์ซาราเจโว
    

      
      สงครามบนคาบสมุทรบอลข่านระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และ เซอร์เบียนั้นถูกพิจารณาว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยอิทธิพลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้เสื่อมถอยและการเจริญเติบโตของลัทธิรวมเชื้อชาติสลาฟและความเจริญขึ้นของลัทธิชาตินิยมภายในประเทศในประจวบกับความเจริญเติบโตของเซอร์เบีย ซึ่งความรู้สึกต่อต้านชาวออสเตรียอาจจะมีความรุนแรงมากที่สุดจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้นได้ยึดครองแคว้นบอสเนีย-เฮอร์เชโกวินาของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งมีจำนวนประชากรชาวเซิร์บเป็นจำนวนมากในปี 1878 และจากนั้นก็ได้ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิของออสเตรีย-ฮังการีในปี 1908 ความรู้สึกรักชาติที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับที่จักรวรรดิออตโตมัน รัสเซียนั้นได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อการรวมเชื้อชาติสลาฟ และกระตุ้นโดยมนุษยธรรมและความจงรักภักดีต่อศาสนาและการแข่งขันกับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
  
กัฟริโล ปรินชิป ลอบปลงพระชนม์
   
      ในวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 1914 เวลาก่อนเที่ยงเพียงเล็กน้อย อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ออสเตรีย-อังการี พร้อมด้วยพระชายา ทรงพระนามโซฟี ในขณะที่ทรงประทับรถม้าไปตามท้องถนนแห่งนครซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย อันเป็นการเสด็จเยือนแคว้นนั้นอย่างเป็นทางการ ได้มีชายหนุ่มชาวบอสเนีย ชื่อกัฟริโล ปรินชิป ใช้ปืนเป็นอาวุธ แหวกฝูงชนที่กำลังเฝ้าเสด็จ สาดกระสุนสองนัดเข้าใส่พระวรกาย สิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์
    

      จำต้องรู้ก่อนว่าในสมัยนั้นบอสเนียเป็นแคว้นหนึ่งในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เมื่อเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ขึ้นมาแล้วในอีก 6 สัปดาห์ต่อมาก็ได้เกิดการรบกันกระทั่งขยายพื้นที่ออกเป็นสงครามโลกในที่สุด
     
กัฟริโล ปรินชิปขณะถูกควบคุมตัว
      กัฟริโล ปรินชิป เป็นสมาชิกของสมาคมลับที่ชื่อ แบล็กแฮนด์ อันเป็นสาขาของสมาคมลับ แพน-เซิร์บ ซึ่งมีความรู้สึกด้านชาตินิยมสูงและรุนแรงเกลียดชังชาวออสเตรีย และอยากจะแยกตนเองออกเป็นเอกราชจากการปกครองของออสเตรีย และรวมชนเผ่าสลาฟเข้าเป็นประเทศเดียวกันภายใต้การปกครองของชาวสลาฟเอง
    
      เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาเช่นนั้น รัฐบาลแห่งจักรพรรดิของออสเตรีย-ฮังการี ถือว่ารัฐบาลเซอร์เบียได้ปล่อยปละละเลยให้ใรการมั่วสุมสมคบคิดกันต่อต้านรัฐบาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิจนกระทั่งมีผลให้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นมา ดังนั้นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย-ฮังการีจึงถือเอาโอกาสนั้นในการเข้าไปย้ำยีเซอร์เบียรวมไปถึงการปราบปรามพวกสลาฟที่คอยรบกวนอยู่เสมอ พร้อมประกาศว่าเซอร์เบียจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด
     
      การประกาศออกมาเช่นนั้นของออสเตรีย-ฮังการี ในภาวะที่โลกหรือยุโรปในเวลานั้นต่างหันปากกระบอกปืนของกลุ่มเข้าหาและเตรียมพร้อมกันอยู่เสมอตกตะลึงและพร้อมที่จะยกอาวุธขึ้นมาประทับบ่าทันที
      
      กล่าวกันว่าจากการสอบสวนและดำเนินคดีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นสรุปกันว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลออสเตรียไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐบาลเซอร์เบียได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการลอบปลงพระชนม์ กระนั้นเคานต์แบคโทลด์ รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรียในเวลานั้นก็ได้แสร้งทำเสมือนหนึ่งว่าออสเตรียมีหลักฐานที่เอาผิดแก่เซอร์เบียและเริ่มลงมือตระเตรียมดำเนินแผนการขั้นต่อไปโดยถามเยอรมนีถึงความช่วยเหลือที่เยอรมนีเคยสัญญาว่าจะให้แก่ออสเตรีย
     
      เยอรมนีตอบว่า ออสเตรียจะปฏิบัติประการใดต่อเซอร์เบียก็ได้ตามแต่ปรารถนาและเห็นสมควร และอาจจะรับเอาว่าเยอรมนีสนับสนุนเพราะเยอรมนีเป็นคู่สัญญาร่วมกัน เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ออสเตรียอย่างเต็มที่และโดยตรงนั้นเอง
    
      ดังนั้นเคานต์แบคโทรล์ จึงได้เชิญชวนให้จักรพรรดิฟรานซิส โจเซฟและเคานต์ติสชา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของฮังการีเห็นว่าถ้าออสเตรียไม่รีบจัดการเรื่องการลอบปลงพระชนม์แล้วออสเตรียก็จะกลายเป็นเพียงแค่เหยื่อของศัตรูเท่านั้น
     
      การดำเนินการของออสเตรียเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วยุโรปกำลังเงียบเสียงและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก็ปรากฏว่ารุสเซียไม่อาจที่จะนั่งมองและสงวนท่าที่เอาไว้ได้ รุสเซียในเวลานั้นซึ่งก็ติดตามการเคลื่อนไหวของออสเตรียอย่างไม่ละสายตาก็ได้ออกประกาศเตือนออสเตรียว่ารุสเซียจะไม่ยอมนิ่งดูดายให้ออสเตรียรังแกเซอร์เบียได้อย่างแน่นอน
    
      เป็นอันว่าเมื่อประกาศนี้ถูกแถลงออกไปแล้วเหตุการณ์จากที่เป็นแค่เรื่องลอบปลงพระชนม์ก็เริ่มขยายเป็นเรื่องปัญหาทางการเมืองของโลกขึ้นมาทันใดออสเตรียนั้นได้เยอรมนีเปิดไฟเขียวให้แล้วแต่กลับต้องมาเผชิญกับไฟแดงห้ามจากรุสเซียซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจในเวลานั้นด้วยเช่นกัน
     
      แต่ดูเหมือนออสเตรียกำลังเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว ในเวลาต่อมาออสเตรียจึงเดินหน้ายื่นคำขาดต่อเซอร์เบียโดยมีข้อความสำคัญในคำขาดที่ต้องให้ตอบมาภายในเวลา 48 ชั่วโมง สรุปได้ว่า เซอร์เบียจะต้องยินยอมปราบปรามการพิมพ์ สมาคมต่างๆ ที่บงการต่อต้านราชวงศ์ที่ครองจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และให้กำจัดการอบรมสั่งสอนให้ชิงชังออสเตรียซึ่งดำเนินอยู่ตามโรงเรียนต่างๆ ให้สิ้นซาก ให้ปลดบุคคลที่รัฐบาลออสเตรียไม่ปรารถนาออกจากตำแหน่งข้าราชการฝ่ายทหาร และให้เซอร์เบียยินยอมให้ผู้แทนออสเตรียเข้าไปทำการปราบปรามทำลายล้างขบวนการต่อต้านออสเตรีย รวมทั้งให้จับกุมผู้ร่วมคบคิด กันวางแผนเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน
       
      แล้วเวลาก็ดำเนินไป ก่อนที่จะถึงเส้นตายที่กำหนด เซอร์เบียก็ได้ใช่คำตอบยอมรับเงื่อนไขที่ออสเตรียเสนอมาเกือบทุกข้อ ส่วนที่เหลือจากนั้นเซอร์เบียก็ขอให้เสนอเรื่องต่อศาลโลก ณ กรุงเฮกเพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งคำตอบของเซอร์เบียที่ออกมานี้เรียกว่าทำให้ทุกฝ่ายสามารถถอนหายใจได้ระยะหนึ่งที่สำคัญมันสร้างความประทับใจให้กับบรรดาประเทศอื่นๆ ที่เฝ้าคอยจับตาเองอยู่และเริ่มเข้ามาเห็นใจเซอร์เบียมากยิ่งขึ้น
     
      แต่ปรากฏว่าออสเตรียกลับปฏิเสธคำตอบของเซอร์เบียอย่างทันทีทันใดโดยที่ทันทีที่เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำเซอร์เบียได้อ่านคำตอบเสร็จสิ้นลงแล้วเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เขาก็เดินทางออกจากกรุงเบลเกรดนครหลวงของเซอร์เบียและประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเซอร์เบียทันที
         
      เรียกว่าประเทศต่างๆ ต้องตกใจกับปฏิกิริยาของออสเตรียขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่คิดว่าเรื่องนี้จะสามารถจบลงได้อย่างง่ายดายกลับกลายเป็นไม่เข้าใจและมึนงงต่อท่าทีที่เกิดขึ้นมาครั้งใหม่ของออสเตรีย กล่าวกันว่าบรรดานานาชาติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องและจับตามองอยู่ต่างตกใจเป็นการใหญ่ เพราะต่างฝ่ายต่างคิดเหมือนกันว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามที่หลายๆ ประเทศสำคัญต้องหันมาทำการรบกันเป็นการใหญ่ขึ้นมาแน่ ดังนั้นบรรดาประเทศเหล่านี้จึงไม่อาจนิ่งดูดายได้ ต่างพากันยื่นข้อเสนอเพื่อปัดเป่าสงครามอันอาจจะเกิดขึ้นมาได้นี้
ภาพ:พาดหัวข่าวของวันที่ 28 กรกฏาคม 1914
      
      โดยลอร์ดเกรย ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษในเวลานั้น  ได้เร่งเร้าให้มีการเปิดประชุมในระดับเอกอัครราชทูตของประเทศที่เกี่ยวข้องขึ้นมาในวันที่ 28 กรกฏาคม แต่ปรากฏว่าเยอรมนีซึ่งเวลานั้นอยากจะเห็นเซอร์เบียถูกลงโทษได้ขอให้ประเทศต่างๆ ใช้ความพยายามจำกัดเขตสงครามโดยจะให้รบกันเพียงออสเตรียและเซอร์เบียเท่านั้น ทางออกนี้ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเช่นกัน กระนั้นรุสเซียกลับมองตรงข้ามกัน กล่าวคือรุสเซียมองว่าถ้าทำเข่นนั้นก็มีค่าเท่ากับพวกที่เกี่ยวข้องได้แต่พากันตีวงนั่งดูออสเตรียเข้าบดขยี้เซอร์เบียเล่นกันอย่างสนุกสนานเท่านั้นเอง ดังนั้นการเจรจาระหว่างประเทศจึงไม่อาจนำมาใช้แก้ปัญหาในครั้งนั้นได้
       
      และแล้วในวันที่ 28 กรกฏาคม 1914 ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
       
กองทัพรุสเซีย 1914 (Army Russian)
      เมื่อออสเตรียกระหายสงครามเช่นนั้น รุสเซีย ก็มิอาจนิ่งนอนใจได้ ในวันรุ่งขึ้นรุสเซียก็ได้ประกาศระดมพลของตัวเองทันทีทันใดเช่นกัน
     
      สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมา พร้อมกับที่ทางเยอรมนีเองก็ดูเหมือนจะเริ่มมองเห็นและเข้าใจถึงความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ดดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ที่มีอยู่ในภูมิภาค ดังนั้นในเวลานั้นเองพระเจ้าไกเซอร์ของเยอรมนีก็ได้ตรัสสั่งให้อัครมหาเสนาบดีของพระองค์ส่งวิทยุด่วนไปยังกรุงเวียนนา เพื่อพยายามยับยั้งออสเตรีย พร้อมกันได้ต่อสายตรงไปขอร้องพระเจ้าชาร์แห่งรุสเซียให้ช่วยพยายามธำรงสันติภาพเอาไว้ให้ได้ก่อน

    
      แต่ปรากฏว่า ความพยายามนั้นสายเกินไปเสียแล้ว ทั้งนี้เพราะรุสเซียโดยพระเจ้าซาร์ได้สั่งหยุดการระดมพลตามคำขอด่วนของพระเจ้าไกเซอร์ก็จริงแต่เป็นการระงับเอาไว้เพียงวันเดียว ทั้งนี้เพราะบรรดาคณะรัฐมนตรีของพระองค์ต่างมองเห็นว่า รุสเซียมัวแต่ชักช้าอยู่อาจจะส่งผลให้รุสเซียต้องเสียหายอย่างมหาศาลในเวลาต่อมาดังนั้นรัสเซียจึงเดินหน้าระดมพลต่อไป ---

      นี้คือเรื่องราววิกฤตการณ์ทั้งหมด ก่อนที่จะระเบิดกลายมาเป็นสงครามที่มีวงกว้าง และรุนแรงที่สุดเป็นครั้งแรกของโลก ตอนหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ

ขอขอบคุณเจ้าของความรู้ คุณวีระชัย โชคมุกดา และผู้อ่านทุกคนมากๆครับ ที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ครับ สวัสดี...

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอน เหตุแห่งสงคราม v.2

      
อาร์ค ดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดิานด์ กับพระชายา
      …ต่อ จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1914 เมื่อ **อาร์ค ดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Archduke Franz Ferdinand) มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย ฮังการี และพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย โดยนักศึกษาชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ชื่อ กัฟริโล ปรินชิบ (Gavrilo Princip) รัฐบาลออสเตรีย ฮังการี จึงตัดสินใจจะทำลายล้างเซอร์เบียให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากเยอรมนี จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจยอมรับได้ ออสเตรีย - ฮังการี จึงตัดสินใจจะทำลายล้างเซอร์เบียให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากเยอรมนี จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจจะยอมรับได้ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
     
เจ้าหน้าที่รวบตัวกัฟริโล ปรินชิป
ภายหลังจากก่อนเหตุบุกยิงมงกุฏราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย
      รัสเซียได้เข้าสนับสนุนเซอร์เบียและระดมพลเตรียมต่อสู้ เยอรมนีจึงได้เรียกร้องมิให้รัสเซียและฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซง ครั้นสองมหาอำนาจไม่ปฏิบัติตาม เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคม 1914 และฝรั่งเศสในวันที่ 3 สิงหาคม 1914 ตามลำดับ
     
      และเพื่อให้มองเห็นภาพความขัดแย้งก่อนสงครามที่ปะทุขึ้นมาของสงครามโลกครั้งที่ 1 เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปดูถึงสภาพความตึงเครียดของการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปในช่วงเวลาดังกล่าวกันเสียก่อน
      
      กล่าวกันว่าในขณะที่ประเทศในยุโรปเวลานั้นต่างเผชิญหน้ากับความตึงเครียดภายในประเทศอยู่แล้ว ความแตกแยกในระดับชาติระหว่างประเทศก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้มีความพยายามที่จะให้หรือจัดให้มีการเจรจาทางการฑูตเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาจนเกิดสนธิสัญญาต่างๆ มากมายก็ตามทีกระนั้นด้วยวิกฤตการณ์ทางการทูตที่เกิดขึ้นหลายครั้ง แลพการแก้ปัญหาในต่ละครั้งก็ได้แค่เพียงทำให้รอดพ้นจากการการทำสงครามอย่างหวุดหวิดไปเท่านั้นหากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นยังส่งผลให้เกิดการสะสมความระแวงและความแค้นจนในที่สุดก็นำมาสู่การเกิดวิกฤตการณ์ที่ส่งผลให้ทุกฝ่ายต่างต้องเดินเข้าไปสู่ความพินาศในที่สุด---
    
      **อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย มีพระนามเต็มว่าฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ คาร์ล ลุดวิก โจเซฟ (Franz Ferdinand Karl Ludwig Joseph von Habsburg-Lothringen) ทรงเป็นโอรสของอาร์คดยุค ลุดวิก
     
      อาร์คยุคคาร์ล ลุดดวิก ทรงเป็นประพระโอรส และพระราชบุตรองค์ที่ 3 ในอาร์คดยุคฟรานซ์ คาร์ลแห่งออสเตรีย (พระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) และเจ้าหญิงแห่งโซฟีแห่งบาวาเรีย เมื่อทรงพระเยาว์ อาร์คดยุคฟรานซ์ โจเซฟ พระเชษฐาของพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย ทำให้พระองค์ทรงเป็นรัชทายาทอันดับที่ 1 แห่งจักรวรรดิออสเตรีย (อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ แม็กซีมีเลียน พระเชษฐาไม่ดืทรงอยู่ในลำดับการสืบสันตติวงศ์ เพราะว่าทรงไปเป็นสมพระจักรพรรดิแห่งเม็กซิโก)  แต่เมื่ออาร์คดยุคครูดอล์ฟ พระราชโอรสในสมเด็จพระจักรรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟได้ทรงประสูติ พระองค์ก็ทรงถูกเลื่อนไปอยู่ในลำดับ 2 ในลำดับการสืบสันตติวงศ์ แต่เมื่ออาร์คดยุคครูดอล์ฟ ได้ทรงสิ้นพระชนม์กะทันหันด้วยพระแสงปืนทำให้พระองค์ได้ทรงถูกเลื่อนมาอยู่ในลำดับที่ 1 อีกครั้ง แต่พระองค์ได้ทรงปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยพระองค์ได้ทรงมอบตำแหน่งองค์รัชทายาทให้กับพระโอรสองค์โตของพรองค์ อาร์คยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ดังนั้นอาร์คดบยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ก็ทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
      
      อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ทรเป็นอาร์คยุคแห่งออสเตรีย-เอสต์ ประมุขแห่งพระราชอิสริยยศออสเตรีย-เอสต์ ทรงเป็นเจ้าฟ้าชายแห่งฮังการีและโบฮีเมีย และองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอีกด้วย  โดยพระองค์ทรงเป็นองค์รัชทายาททางพฤตินัย ไม่มีการสถาปนาอย่างเป็นทางการพระองค์ทรงเป็นองค์รัชทายาทจวบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์กะทันหัน โดยถูกลอบปลงประชนม์โดยนักอนุรักษ์ชาติชาวเซอร์เบีย ที่เมืองซาราเจโวประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวินาซึ่งขณะนั้น ยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอยู่ หลังจากพระองค์และพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์นั้น ทำให้ออสเตรีย-ฮังการี ประกาศสงครามกับเซอร์เบียในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทันที

    
      ตอนหน้าจะเป็นวิกฤตการณ์สุดท้ายของภาคนี้นั้นคือ วิกฤตการณ์ซาราเจโว แล้วเราจะได้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 เสียที 

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอน เหตุแห่งสงคราม V.1

เหตุแห่งสงคราม
    
อาร์คดยุคฟรานด์ เฟอร์ดินานด์

      กล่าวกันว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรป  นำไปสู่การสิ้นสุดของจักรวรรดิออตโตมันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของการปฏิวัติรัสเซีย การพ่ายแพ้ของประเทศเยอรมนีในสงครามครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในหลายประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1939 อีกทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามความขัดแย้งบนฐานการล่าอาณานิคม  ระหว่างมหาอำนาจยุโรปสองค่ายที่เกิดขึ้น
     
กัฟรีโล ปรินชิป (Gavrilo Princip)
      โดยจุดเริ่มต้นนั้นอยู่ที่ การลอบปลงพระชนม์อาร์คดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของบัลลังก์จักรวรรดิออสเตรีย ฮังการี  โดยกัฟรีโล ปรินชิป ชาวเซิร์บบอสเนีย ซึ่งเป็นสมาชิกของแก๊งค์มือมืด และการแก้แค้นของจักรวรรดิ ออสเตรีย ฮังการี ต่อราชอาณาจักเซอร์เบียก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ปะทุขึ้นในทวีปยุโรป ภายในหนึ่งเดือน ทวีปยุโรปส่วนมากก็อยู่ในสภาวะสงคราม
      
      กระนั้นหากจะว่าไปแล้ว การลอบปลงพระชนม์อาร์คดยุค ฟรานช์ เฟอร์ดินานด์ ในครั้งนั้นเป็นเพียงสัญญาณการเริ่มต้นของสงครามเท่านั้น ทั้งนี้เพราะแท้จริงแล้วในบรรดามหาอำนาจของยุโรปและของโลกในเวลานั้นได้ตั้งค่ายและป้อมพร้อมที่จะหันเข้ามาห้ำหั่นกันก่อนหน้าอยู่แล้ว
       
      กล่าวคือย้อนกลับไปในสมัยบิสมาร์คเป็นผู้นำในการสร้างจักรวรรดินิยมเยอรมนี เมื่อบิสมาร์ครบชนะฝรั่งเศส และประกาศตั้งจักรวรรดิเยอรมนีแล้วจึงดำเนินการตั้ง The Three Emperor’ s League ซึ่งแสดงความเป็นสัมพันธมิตรระหว่าง เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และรัสเซีย ด้วยเจตนาสำคัญประการแรกคือ ป้องกันการแก้แค้นของฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังเมื่ออสเตรีย - ฮังการี และรัสเซีย ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กัน จนมิอาจเป็นพันธมิตรต่อกันได้ บิสมาร์คจึงชักชวนอิตาลีเข้าแทนที่รัสเซีย จึงเกิด Triple Alliance (ไตรพันธมิตร) ขึ้น
  
ออตโตฟอน บิสมาร์ค
   
      ครั้นบิสมาร์คหมดอำนาจลง จักรพรรดิเยอรมนี (Kaiser Wilhelm II) ทรงเลิกนโยบายเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และสร้างความไม่พอใจให้อังกฤษด้วยการเริ่มโครงการขยายกองทัพเรือและขยายอิทธิพลเหนือดินแดนตะวันออกมาฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียและสร้างความเข้าใจอันดีกับอังกฤษและในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมที่เคยมีต่อกันแล้ว จึงจัดตั้ง Triple Entente (พันธมิตร หรืออำนาจไตรภาคี) ในปี 1907

    
      และทั้งสองฝ่ายต่างก็ตั้งป้อมและหันปากกระบอกปืนเข้าหากัน พร้อมประกาศความยิ่งใหญ่ของตัวเองอย่างที่ไม่มีใครเกรงหรือกลัวใครกัน






To be Continue

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอน สงครามบอลข่านครั้งที่ 2

สงครามบอลข่านครั้งที่ 2.. 1913
      
แผนที่แสดงความเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังสงครามของแต่ละประเทศ
      เมื่อเซอร์เบียบถูกออสเตรีย ฮังการี และอิตาลีกันท่าในอัลเบเนียแล้ว แต่ตนเองยังต้องการทางออกทะเละอยู่ ดังนั้นเซอร์เบียจึงหันไปขอส่วนแบ่งในมาซิโดเนียจากบัลแกเรียเพิ่มมากยิ่งขึ้น บัลแกเรียก็รีบออกมาปฏิเสธ โดยมีรุสเซียหนุนหลังอยู่บัลแกเรียที่อดีตก็ไม่เคยถูกกับเซอร์เบียอยู่แล้วจึงส่งกำลังออกไปโจมตีกองทหารองเซอร์เบียกับกรีซทางมาซิโดเนียในเดือนมิถุนายน 1913
     
ภาพ:ทหารเซอร์เบียระหว่างสงครามบอลข่าน
      มอนเตเนโกร โรมาเนีย และตุรกี ก็กระโดดเข้าร่วมรบกับฝ่ายของเซอร์เบียกับกรีซ การที่ตุรกีกระโดดเข้ามาร่วมด้วยก็เพราะตุรกีหวังว่าหากเป็นไปได้ตนเองอาจจะได้รับดินแดนทางแคว้นเทรซซึ่งก่อนหน้านี้บัลแกเรียแย่งเอาไปก่อนแล้วคืนได้
     
      สงครามครั้งนี้การสู้รบกันอย่างหนัก จนสุดท้ายบัลแกเรียสู้ไม่ไหว ต้องยอมแพ้และยอมรับเงื่อนไขในสนธิสัญญาบูคาเรสต์ เมื่อเดือนสิงหาคม 1913 โดนเนื้อหาตามสนธิสัญญานี้มีว่า บัลแกเรียจะได้รับส่วนแบ่งในดินแดนมาซิโดเนียน้อยลงกว่าที่ได้ตกลงไว้เดิมมาก และเซอร์เบียก็จะได้ดินแดนทางมาซิโดเนียมากกว่าบัลแกเรียซึ่งก็ทำให้เซอร์เบียใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่มืทางออกทะเลอยู่ดี ส่วนกรีซก็จะได้รับเมืองสโลนิกาและฝั่งทะเลทางแคว้น เทสสาลี ทั้งบัลแกเรียยังต้องยกโดยรุดจาตอนใต้ให้แก่โรมาเนีย ส่วนตุรกีจะเหลือดินแดนทางยุโรปเพียงแค่ด้านตะวันออกของแคว้นเทรซและเมืองเอเดรียนโนเปิล
     
ภาพบ้านเมืองหลังสงครามบอลข่านใน กรีซ
      บรรดาวิกฤตการณ์และสงครามที่เกิดขึ้นมานี้ ล้วนแต่เป็นตัวจุดประกายของสงครามใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาทั้งสิ้น แม้วิกฤตการณ์จะผ่านพ้นไปแล้วแต่ว่ากันว่าหลังสิ้นสงครามบอลข่านภัยแห่งสงครามได้แผ่เข้าครอบงำทวีปยุโรปเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น แม้สงครามการต่อสู้บนคาบสมุทรบอลข่านจะยุติลงแล้วก็ตามแต่คาบสมุทรแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง
       
      บัลแกเรียต้องการแก้แค้นเซอร์เบีย ส่วนเซอร์เบียเมื่อได้ดินแดนมาเพิ่มจนประเทศตนเองใหญ่โตขึ้นเป็นสองเท่าก็ยิ่งกระหายที่จะสร้าง มหาอาณาจักรเซอร์เบีย  โดยมองแหละหวังว่าจะรวมเอาดินแดนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวสลาฟจากจักรวรรดิออสเตรีย ฮังการี มาไว้เป็นของตน โดยรุสเซียก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะมองว่าตนเองจะได้กลายเป็นมหานาจยุโรปตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง อีกทั้งความต้องการที่จะได้ใช่ช่องแคบดาร์คเนลส์กับช่องแคบฟอรัสได้สะดวก ซึ่งแผนการนี้รุสเซียก็ไปขัดแย้งกับแผนของเยอรมนีที่ต้องการสร้างทางรถไฟจากเบอร์ลินไปยังแบกแดดและต่อออกไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย ตุรกีนั้นอนุญาตให้เยอรมนีสร้างได้แต่ส่วนหนึ่งของเส้นทางนี้ก็ยังต้องผ่านเซอร์เบียอยู่ดี ดังนั้นเยอรมนีจึงต้องยืนยันแข็งขันไม่ให้ชาวสลาฟรวมตัวกันได้
     
ทหารโรมาเนียกำลังเคลื่อนพลเข้าสู่บัลแกเรีย ในสงครามบอลข่าน
      มาถึงชั่วโมงนี้ประเทศทั้งหมดในยุโรปต่างรู้อยู่แก่ใจทั่วไปแล้วว่า การแย่งกันแสวงหาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นไปทั่วนี้เกิดจะนำมาซึ่งสงคราม ทางออกเดียวที่ทำได้เวลานั้นก็คือ แต่ละประเทศต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด เพื่อว่าเวลาเกิดเรื่องขึ้นมาตนเองจะได้สามารถเข้าปฏิบัติการได้ทันทีทันใด
      
      เยอรมนีและฝรั่งเศสเพิ่มกำลังทหารบกของตนเอง ส่วนอังกฤษรัฐสภาก็ออกเสียงเพิ่มงบประมาณมหาศาลแก่กองทัพเรือของตนเอง เยอรมนีและตุรกีตกลงให้นายเยอรมนีเข้าฝึกวิชาทหารให้แก่กองทัพตุรกี แถมยังมีข้อตกลงอีกว่าเมื่อฝึกเสร็จแล้วก็จะให้ทหารเหล่านั้นอยู่ใต้การบังคับบัญชาการของนายทหารเยอรมนี แม้แต่เบลเยียมก็นำเอาวิธีการเกณฑ์พลเมืองเข้ามาเป็นทหารแบบเยอรมนีมาใช้ ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมตัวเอาไว้เพราะถึงเวลานั้นเยอรมนีได้สร้างทางรถไฟจนมาประชิดชายแดนเบลเยียมแล้ว ก็หมายความว่าหากเกิดสงครามขึ้นมาเยอรมนีต้องยกพลผ่านเบลเยียมไปยังฝรั่งเศสอย่างแน่นอน

     
      ทั่วภาคพื้นยุโรปทุกคนรู้ดีว่าสงครามใหญ่ใกล้จะปะทุขึ้นทุกที - - -

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอน สงครามบอลข่าน

สงครามบอลข่าน ค..1912 – 1913
     

       จำต้องย้อนกลับไปยังสงครามบอลข่านครั้งที่ผ่านมาก่อน(บทความเก่ามีครับ) ผลของสงครามครั้งนั้นทำให้เซอร์เบียกับออสเตรียบาดหมางกันอย่างมาก ทั้งยังเป็นผลกระตุ้นให้อิตาลีหันไปทำสัญญากับรุสเซียเพื่อต่อต้านออสเตรีย ฮังการี ทั้งนี้ก็เพื่อกันไม่ให้ออสเตรีย ฮังการี ขยายอิทธิพลเข้าไปบอลข่านอีก ซึ่งการลงนามสัญญานี้เกิดขึ้นในปี 1909 ก่อนที่อิตาลีทำสงครามกับตุรกี
    
กลุ่มสันนิบาตบอลข่าน 1912
      ค.. 1911 อิตาลีทำสงครามกับตุรกีกรณียึดทริโปลี พร้อมกันนั้นรุสเซียก็ได้เข้าไปเกลี่ยวกล่อมบัลแกเรียประเทศซึ่งถือเป็นศัตรูโดยตรงของเซอร์เบียให้หันมาจับมือร่วมกันกับเซอร์เบียจนก่อเกิดสัญญาลับขึ้นมาเพื่อร่วมกันโจมตีตุรกีในปี 1912 ซึ่งมีข้อตกลงในสัญญาลับนั้นว่า หากทำสงครามกับตุรกีจนได้รับชัยชนะแล้วบัลแกเรียจะได้ดินแดนส่วนใหญ่ของมาซิโดเนียซึ่งขณะนั้นเป็นของตุรกีอยู่ ฝ่ายเซอร์เบียก็จะได้ดินแดนมาซิโดเนียส่วนที่เหลือจากบัลแกเรียรวมถึงได้อัลเบเนียตอนที่ติดกับฝั่งทะเลอาเดรียติก
     
      ผลของการรวมกลุ่มกันครั้งนี้ยังทำให้กรีซและมอนเตเนโกรกระโดดมาเข้าร่วมจับมือด้วย กลายเป็นกลุ่มประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่าน เรียกกันว่ากลุ่มสันนิบาตบอลข่าน โดยชาวประเทศกลุ่มนี้มีเป้าหมายคือปลดปล่อยชาวสลาฟซึ่งถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับตนเองให้หลุดพ้นจากอำนาจการปกครองของมุสลิมของตุรกี
  
เหล่าทหารของออตโตมันกำลังยืนตรวจเช็คกำลังพล
    
      ตุรกีกำลังเดือดร้อนกับการทำสงครามกับอิตาลีอยู่ก็โดนโจมตีซ้ำอีกจากการปล่อยข่าวกล่าวหาว่า ตุรกีได้บีบคั้นชาวคริสต์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของตุรกีแถบมาซิโดเนียแล้ววันที่ 21 ตุลาคม 1912 กลุ่มสันนิบาตบอลติกก็ประกาศสงครามกับตุรกี ทำให้ตุรกีต้องรีบปิดฉากปัญหาของตนเองในแอฟริกากับอิตาลีแล้วเร่งกลับมาตั้งรับทัพสันนิบาตบอลข่านในประเทศตนเอง
ตามเข็มนาฬิกาด้านขวาบน : กองทัพเซอร์เบียกำลังเคลื่อนพลเข้าเมือง Mitrovica
,กองทัพออตโตมันที่กำลังรบใน Kumanovo
กษัตริย์กรีซและซาร์บัลแกเรียใน Tessaloniki
กองทัพและปืนใหญ่บัลแกเรีย
     
      กรีซส่งกองกำลังเข้ามารุกมาซิโดเนียและเทรซ จณะที่บัลแกเรียก็ส่งกำลังเข้าล้อมเมืองปราการสำคัญคือเอเดรียโนเปิลซ้ำยังรุกไล่กองทหารของตุรกีไปจนเกือบถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิล ด้านเซอร์เบียก็กำลังเข้าตียึดบริเวณลุ่มแม่น้ำวาดาร์ได้ ได้รับชัยชนะเรื่อยไปจนได้อัลเบเนียตอนเหนือ
    
      กล่าวได้ว่าเวลานั้นสันนิบาตบอลข่านสามารถเข้ายึดดินแดนของตุรกีในส่วนที่อยู่ในทวีปยุโรปไว้ได้เกือบหมด
ภาพแผนที่แสงถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนและ หลัง สงครามบอลข่าน
     
      และสงครามครั้งนี้ไม่เพียงแค่ทำให้ตุรกีลำบากเท่านั้น ในยุโรปก็เกิดปัญหาตามมา โดยมีจุดปัญหามาจากความเป็นศัตรูของออสเตรีย ฮังการีกับเซอร์เบีย ซึ่งการที่เซอร์เบียเข้าทำสงครามในครั้งนี้ก็เพื่อให้ได้อัลเบียเพื่อไว้ใช้เป็นทางออกทะเล แต่เดิมนั้นเซอร์เบียหวังจะยกไปยึดเอาบอสเนียแต่ปรากฏว่าถูกออสเตรีย ฮังการี กันท่าและยึดได้ก่อนในปี 1908 และครั้งนี้ก็เช่นกัน ออสเตรียอังการี ก็พยายามกันท่าไม่ให้เซอร์เบียได้อัลเบเนียอีก ขณะที่อิตาลีซึ่งเวลานั้นก็คิดเช่นกันว่าไม่อยากให้เซอร์บียยิ่งใหญ่จนสามารถมาแข่งขันกับตนเองแถบทะเลเอเดรียติก เพราะอิตาลีถือว่าทะเลแห่งนี้เป็นของตนเองอิตาลีจึงหันไปร่วมมือกับออสเตรียทำหนังสือรับรองความเป็นเอกราชของอัลเบเนีย และรุสเซียก็จำต้องยอมให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นในเวลาต่อมาจึงมีการสถาปนาอัลเบเนียของตุรกีเดิมขึ้นเป็นประเทศเอกราชมีกษัตริย์ปกครอง

    
      เพื่อรักษาสันติภาพเอาไว้ เซอร์เบียจึงจำเป็นต้องยอมสละผลประโยชน์ของตนเองไปอีกครั้งหนึ่ง - - -

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอน สงครามออตโตมัน กับ อิตาลี 1911

สงครามออตโตมันกับอิตาลี ค.. 1911
    
อันวาร์ ปาชา ผู้นำตุรกีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914
     อาณาจักรหรือจักรวรรดิออตโตมัน ที่กำลังกลายเป็นคนป่วยแห่งยุโรในเวลานั้นดูเหมือนจะป่วยหนักขึ้นเพราะภายในอาณาจักรของตนเองต้องผจญภัยกับการแก้ปัญหาการลุกขึ้นมาปฏิวัติของกลุ่มเติร์กหนุ่ม** ครั้นมาถึงเดือนกันยายน 1911 อิตาลีก็ได้ส่งทหารเข้ายึดทริโปลีและซีเรไนกาและประกาศตั้งตัวเองเป็นประเทศอารักขารัฐทั้งสอง
ปืนใหญ่อิตาลีใกล้กรุงทริโปลี 1911
    
      รัฐบาลเติร์กหนุ่มของตุรกีในเวลานั้นซึ่งถือว่าดินแดนทั้งสองแห่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิตนเองก็ได้ลุกมาประกาศสงครามกับอิตาลี พร้อมกับส่งกองทัพออกไปทำสงครามในดินแดนที่กล่าวมาทันที


      การต่อสู้ดำเนินไปด้วยกำลังทัพของตุรกีที่มีอยู่น้อยนิดไม่อาจเปรียบกับอิตาลีได้เลย เพียงปีเดียวสงครามก็สงบลง มีการลงนามในสนธิสัญญาโลซานน์ในเดือนตุลาคม 1912 โดยยอมให้อิตาลีได้ดินแดนทั้งสอง แห่งอีกทั้งอิตาลียังได้อารักขาหมู่เกาะโดเดกานิสเป็นของแถมอีกด้วย
    
คณะผู้แทนตุรกีและอิตาลีที่เมืองโลซานน์
      เรียกว่านอกจากจะพ่ายแพ้แล้ว ตุรกียังต้องบอบช้ำซ้ำเติมอีกต่างหากในห้วงเวลานั้นเกิดการอภิปรายกันขนานใหญ่ในยุโรป ทั้งนี้เพราะรับรู้กันเสมอว่าตุรกีนั้นมีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับเยอรมนี แม้อิตาลีก็จะเป็นหนึ่งในกลุ่มสัมพันธไมตรีไตรมิตรด้วยแต่อิตาลีก็ไม่ได้แสดงออกหรือสนใจจงรักภักดีอะไรมากนัก อีกทั้งการที่อิตาลีบุกตุรกีขณะที่เยอรมนียังพยายามผูกสัมพันธ์กับตุรกีก็ยิ่งดูไม่เหมาะสม แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้วและเกิดขึ้นมาจนได้ทำให้เกิดรอยร้าวไปทั่วยุโรปแล้ว---

  **เติร์กหนุ่มคืออะไร ในช่วง ค.. 1876 กลุ่มปัญญาชนในอาณาจักรออตโตมัน ซึ่งเรียกตนว่า เติร์กหนุ่ม (Young Tuks)
การปฏิวัติในอาณาจักรออตโตมันโดยกลุ่มเติร์กหนุ่ม
ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง และได้บีบให้สุลต่านดุลฮามิดที่
2 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก เปลี่ยนแปลงการปกครองอาณาจักรออตโตมันมาเป็นระบบรัฐสภาโดยมีสุลต่านเป็นประมุขครั้งแรก รัฐธรรมนูญดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 1908 กลุ่มเติร์กหนุ่มได้ก่อการปฏิวัติบีบบังคับให้สุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญอีกครั้ง 

       ต่อมาสุลต่านพระองค์นี้ได้ถูกปลดออกจากพระราชอำนาจสุลต่านเมห์เมตที่ 5
ซึ่งขึ้นครองราชย์ต่อมาไม่มีพระราชอำนาจทรงเป็นเพียงหุ่นเชิดของกลุ่มเติร์กหนุ่มเท่านั้น อันวาร์ ปาชา ผู้นำเติร์กหนุ่มได้รวบรวมอำนาจปกครองประเทศไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และในปี 1914 ได้นำประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ร่วมกับ ฝ่ายเยอรมนี

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอน วิกฤตการณ์โมร็อกโกครั้งที่ 2

วิกฤตการณ์โมร็อกโก ครั้งที่ 2.. 1911
     
      แม้ปัญหาโมร็อกโกจะถูกแก้ไขไปบ้างแล้วก่อนหน้านั้น(วิกฤตการณ์โมร็อกโกครั้งที่ 1 1905-1906)  แต่ก็ดูเหมือนว่าความลงเอยยังไม่สิ้นสุด ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะผนวกดินแดนโมร็อกโกให้ได้ในปี 1911 บังเอิญเกิดเรื่องภายในโมร็อกโก เมื่อชาวพื้นเมืองได้ลุกขึ้นมากก่อการกบฏต่อฝรั่งเศสที่เวลานั้นมีอำนาจอยู่ในนครเฟซทำให้ฝรั่งเศสใช้กำลังเข้ายึดนครเฟซเอาไว้ได้ในปลายปีนั้นเอง ด้วยการยกข้ออ้างว่าที่ตัวเองเข้าไปนั้นเพื่อคุ้มครององค์สุลต่านรักษาความสงบ และพิทักษ์รักษาความปลอดภัยให้กับชาวต่างชาติ
  
เรือแพนเธอร์ที่เยอรมนีส่งมาให้มาประจันหน้ากับฝรั่งเศส 1911 ที่โมร็อกโก
 
      เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อความหวั่นไหวไปทั่วทุกชาติทั่วในยุโรป ทั้งนี้เพราะทุกชาติต่างรู้ดีว่าฝรั่งเศสนั้นหวังที่ยึดครองโมร็อกโก โดยหวังเปลี่ยนให้โมร็อกโกกลายเป็นประเทศในอารักขาของตนเองอยู่แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนี้จึงเริ่มกลับมาซ้ำรอยเดิม กล่าวคือเยอรมนีลุกขึ้นมาขัดขวางเป็นรายแรก โดยการจัดส่งเรือปืนชื่อแพนเธอร์ เข้าไปทอดสมออยู่ที่อ่าวหน้าเมืองอาร์กาดีร์ทางฝั่งตะวันตกของโมร็อกโก กลายเป็นการตั้งประจันหน้ากัน สร้างความหวั่นไหวไปทั่วว่าสงครามจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
 
ภาพ:ปืนใหญ่ฝรั่งเศสที่ประจันหน้ากับเรือแพนเธอร์ของเยรอมนี
     
      ฝรั่งเศสนั้นเคยแพ้เกมมาแล้วในปี 1905(วิกฤตโมร็อกโกครั้งที่ 1) ครั้งนี้จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมแพ้อีกเด็ดขาดยิ่งเมื่อมองกองทัพของตนเองในเวลานั้นทั้งที่มีกำลังพอและอาวุธที่ทันสมัยมากกว่าครั้งที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้มั่นใจมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญครั้งนี้ฝรั่งเศสมั่นใจว่าอังกฤษจะต้องเข้าร่วมช่วยเหลืออย่างแน่นอน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนที่อังกฤษยื่นเรื่องให้เยอรมนีถอนเรือปืนออกไปและแสดงท่าทีชัดเจนว่าอยู่ข้างฝรั่งเศส

    
      ปรากฏว่าสุดท้ายเยอรมนีไม่อยากสู้รบกับอังกฤษและฝรั่งเศส จำต้องยอมตกลงให้ฝรั่งเศสเข้าไปเป็นอารัฐอารักชาโมร็อกโก โดยให้มีเงื่อนไขว่าฝรั่งเศสต้องยอมดำเนินนโยบาย เปิดประตูการค้า ที่โมร็อกโกเพื่อชดใช้ และฝรั่งเศสต้องยอมยกดินแดนป่าเขาในคองโกของฝรั่งเศสซึ่งมีเนื้อที่ 100,000 ตารางไมล์ให้แก่เยอรมนี

 
ภาพทหารฝรั่งเศสย้ายค่ายเข้ามาในโมร็อกโกปี 30 มีนาคม 1912
   
      แม้สงครามจะไม่เกิดขึ้นและวิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปได้ แต่กระนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ค้างใจทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศส ทั้งสองเกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ค่ายฉันทไมตรีไตรมิตรและค่ายพันไมตรีไตรมิตรเริ่มแข่งขันกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนทุกคนในโลกในเวลานั้นเริ่มตั้งคำถามและพูดคุยกันแล้วว่าสงครามใหญ่จะต้องเกิดขึ้นมาแน่ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรและเริ่มขึ้นที่ไหนก่อนเท่านั้นเอง---

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอนบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา หรือวิกฤตบอลข่าน

วิกฤตการเมืองและสงครามก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตอนการผนวกบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา หรือวิกฤตการณ์บอลข่านในปี 1908
 
ภาพ:แสดงที่ตั้งของแต่ละประเทศบริเวณขายสมุทรบอลข่านที่มีข้อพิพาทกัน
    
      หากจะกล่าวถึงดินแดนที่น่าจะเป็นปัญหามากที่สุดในช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วคาบสมุทรบอลข่านน่าจะเป็นดินแดนส่วนที่ว่านี้ ด้วยว่าที่ตั้งที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจและความเคลื่อนไหวไปจนถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มชนที่หลากหลาย ทำให้เกิดเป็นแผ่นดินส่วนที่สร้างปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
     
      ตามข้อตกลงในที่ประชุมคองเกรสแห่งเบอร์ลิน ค.. 1878 บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา ต้องอยู่ภายใต้การตรวจตราดูแลรักษาของออสเตรีย-ฮังการี ทั้งที่แท้จริงแล้วทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างยอมรับว่าดินแดนทั้งสองรัฐนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออโตมัน แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น
ภาพ:แสดงที่ตั้งขอช่องแคบดาร์คดาเนลส์และบอสฟอรัส
     
      ครั้นเมื่อถึงปี 1908 รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของออสเตรียและรัฐมนตรีการต่างประเทศของรุสเซียได้ทำความตกลงกันว่า ให้ออสเตรียผนวกบอสเนียและเฮอร์เซโกวินาเข้าเป็นผืนแผ่นดินเดียวกับออสเตรียได้ โดยมีข้อแม้ว่าออสเตรียจะต้องยอมเปิดช่องแคบดาร์คดาเนลส์และบอสฟอรัสให้เรือรบรุสเซีย ผ่านเข้าออกได้ ซึ่งต่อมาออสเตรียก็รีบเข้ามายึดแผ่นดินทั้งสองมณฑลหรือสองรัฐนั้นเข้าเป็นของตนเองอย่างเงียบๆ โดยที่รุสเซียกลับไม่ได้อะไรตอบแทน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเปิดช่องแคบทั้งสองให้เรือรบผ่านไม่ใช่หน้าที่ของออสเตรียแต่ขึ้นอยู่กับอังกฤษที่ยึดถือนโยบายเดิมของตนเองตลอดมาว่าจะต้องปิดช่องแคบอยู่ตลอดเวลา
  
ประชาชนซาราเยโวกำลังอ่านประกาศถึงการเข้าผนวกในปี 1908
  
      การที่ออสเตรียเข้าควบรวมสองมณฑลนั้นทำให้เซอร์เบียโกรธแค้นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะเซอร์เบียนั้นต้องการรวมชาติสลาฟของตนเองอยู่แล้วและประชากรส่วนใหญ่ในมณฑลทั้งสองนี้ก็เป็นชาวสลาฟ เซอร์เบียหวังเอาไว้ว่าหากสามารถรวมประเทศได้แล้วก็จะส่งผลให้เซอร์เบียกลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม และอาจเป็นมหาอาณาจักรเซอร์เบียของชาวสลาฟเลยทีเดียว
    
      ผลของความโกรธในครั้งนี้ทำให้ออสเตรีย-ฮังการี กับเซอร์เบียต้องตั้งประจันหน้ากันจนเจียนจะเกิดการปะทะกันเป็นเวลาหลายเดือน แต่หลังจากติดต่อและเจรจาพันธมิตรกันแล้วสุดท้ายเซอร์เบียก็จำต้องผ่อนท่าทีลงโดยเริ่มจากเซอร์เบียนั้นคาดว่าหากเกิดสงครามขึ้นมาแล้วรุสเซียจะต้องเข้าช่วยเหลือตนเอง ทั้งนี้เพราะรุสเซียสนับสนุนนโยบายรวมชาติสลาฟมาแต่ต้น
    
      แต่ปรากฏว่าด้วยปัญหาของรุสเซียที่มีอยู่ทำให้นอกจากไม่พร้อมที่จะทำสงครามแล้ว รุสเซียยังเชื่อว่าเยอรมนีก็จะต้องเข้าข้างออสเตรีย-ฮังการีอย่างแน่นอน ดังนั้นรุสเซียจึงจำต้องขอยอมจำนนก่อน สุดท้ายผลของวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ ออสเตรีย-ฮังการี และเยอรมนีได้รับชัยชนะทางการทูต
     
      และยิ่งสำหรับออสเตรียแล้วไม่เฉพาะแค่ชัยชนะทางการทูตเท่านั้น แต่ยังได้ผนวกเอามณฑลใหญ่ของตุรกีสองมณฑลอีกด้วย ออสเตรียรู้สึกถึงชัยชนะสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ฮับสบูร์กไว้ได้ ส่วนเซอร์เบียและรุสเซียกลับเสียหน้า ชัยชนะและพ่ายแพ้ของออสเตรียต่อเซอร์เบีย ครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความคั่งแค้นไม่อาจสูญไปได้ กลับแปลงรูปลงสู่ใต้ดินก่อเกิดสมาคมลับต่างๆ และมีการแพร่โฆษณาเพื่อการปฏิวัติต่อออสเตรียละคบคิดกันอย่างลับๆ เพื่อทำลายล้างออสเตรียต่อไป

     
      ใช่เพียงเท่านั้นการกระทำของออสเตรียยังทำให้เสียพันธมิตรของตนเองด้วย โดยรุสเซียได้เกิดความไม่พอใจและเคียดแค้นเยอรมนีอย่างรุนแรง ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าการดำเนินการของออสเตรียนั้นมีเยอรมนีเห็นชอบและหนุนหลังเสมอมา ทำให้รุสเซียเริ่มหันเข้าหาฝรั่งเศสและอังกฤษมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหวังว่าวันข้างหน้าบรรดาประเทศฉันทไมตรีไตรมิตร(Triple entente) จะสามารถบีบออสเตรียไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับชาวสลาฟทางคาบสมุทรบอลข่านได้อีก---