วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กำเนิดสนธิสัญญาฉันทไมตรีไตรมิตร (Triple entente)

กำเนิดสนธิสัญญาฉันทไมตรีไตรมิตร(Triple entente) ค.. 1907
Triple Entente 1907
     
      อย่างที่ว่านั้นเอง เมื่ออังกฤษสามารถเข้าไปปรองดรองกับฝรั่งเศสได้แล้วทำไมจะไม่สามารถปรองดรองกับรุสเซียได้ ในเมื่อมาถึงเวลานั้นอังกฤษมองว่าชาติที่จะมีปัญหากับอังกฤษมากที่สุดคงไม่มีใครเกินไปกว่าเยอรมนีที่กำลังขยายอำนาจทางทหารของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในเวลาดังกล่าวอังกฤษจึงเริ่มหันกลับมาใช้กุศโลบาย มิตรของศัตรูคือศัตรูแต่ศัตรูของศัตรูย่อมคือมิตรแม้ว่าแท้จริงศัตรูของศัตรูนั้นก่อนหน้านี้เคยเป็นศัตรูของเรามาก่อน
     
      เมื่อจับมือกับฝรั่งเศสได้แล้วในเวลาต่อมาอังกฤษก็เริ่มหันมามองรุสเซีย
    
ภาพวาดแสดงถึงความไม่ลงรอยกันของรุสเซียและอังกฤษ
ในเรื่องการแย่งชิงผลประโยชน์

      อันที่จริงเราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับรุสเซียเสียก่อนแท้จริงนั้นรุสเซียกับอังกฤษมีปัญหากันมาตลอดเวลา โดยเฉพาะมีความขัดแย้งกันในอดีตในเรื่องการแย่งชิงผลประโยชน์จากดินแดนสามแห่งของโลก นั่นคือ
   
      1.บริเวณตะวันออกใกล้
   
      2.ตะวันออกไกล
  
      และ 3. ตอนกลางของทวีปเอเชีย
  
      โดยที่ทางตะวันนออกใกล้นั้น รุสเซียหวังเสมอมาว่ารุสเซียจะเข้าไปปลดปล่อยผู้คนแห่งคาบสมุทรบอลข่านให้หลุดพ้นจากอำนาจของตุรกี และหวังอยู่เสมอเช่นกันที่จะเข้ายึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบลู) นครหลวงของตุรกีเอาไว้เป็นของตัวเองให้ได้ซึ่งที่ผ่านมาอังกฤษก็มีนโยบายปกป้องตุรกีให้พ้นจากการรุกรานของรุสเซีย ทั้งนี้ก็เพราะเพื่อหวังจะให้ตุรกีช่วยเหลือในการกัดกันรุสเซียไม่ให้ใหญ่เกินไป แต่ปรากฏว่าหลังปี 1900 เป็นต้นมาเมื่อเยอรมนีเข้าไปทวีอิทธิพลของตัวเองในตุรกีเรื่อยๆ ทำให้อังกฤษเกิดความตกใจและไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วรุสเซียหรือเยอรมนีกันแน่ที่จะทำลายผลประโยชน์อังกฤษ

แผนที่แสดงพื้นที่ข้อพิพาษ 1888-1905
   
      ขณะที่ทางตะวันออกไกล คือ จีน ญี่ปุ่น และแมนจูเรียนั้น อย่างที่รู้กันมาอย่างดีว่าอังกฤษเช้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในแผ่นดินจีนมาอย่างยาวนานแล้ว แต่เมื่อเข้าไปถึงในปี 1888 ปรากฏว่าชาวรุสเซียเริ่มเข้าไปมีบทบาททางการค้าในจีนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการเข้าไปเป็นคู่แข่งกับพ่อค้าอังกฤษในเรื่องการค้าไหมและใบชา อีกทั้งในเวลาต่อมาเมื่อรุสเซียยกกองทัพเข้าไปยึดครองแมนจูเรียไว้จึงส่งผลให้เกิดการลงนามในสัญญาระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่นที่เรากล่าวไปก่อนหน้านี้นั้นเอง อังกฤษทำสัญญาไมตรีกับญี่ปุ่นในปี 1902 ญี่ปุ่นเข้าทำสงครามกับรุสเซียในปี 1904 ดังนั้นอังกฤษเลยทำทุกวิธีทางที่จะต้องให้ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะรุสเซียให้ได้ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ ค.. 1905 เมื่อรุสเซียพ่ายแพ้ในสงครามรุสเซีย-ญี่ปุ่น รุสเซียจำต้องถอยทัพออกจากแมนจูเรียเพื่อให้ญี่ปุ่นเข้าไปครอบครอง ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้รุสเซียเสื่อมอิทธิพลในการหาผลประโยชน์ในจีนลงไปด้วยดังนั้นการแข่งขันกันเรื่องผลประโยชน์กับอังกฤษจึงลดลงไปด้วย
    
      ในส่วนเรื่องอำนาจในบริเวณตอนกลางของทวีปเอเชียนั้น ก็นับเป็นดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่เกิดความขัดแย้งกันในเรื่องการหาผลประโยชน์ของรุสเซียและอังกฤษ กล่าวคือเมื่ออังกฤษได้แผ่อำนาจของตัวเองจากอินเดียขึ้นไปทางเหนือจนสามารถตั้งมั่นอยู่ในอัฟกานิสถาน พร้อมกันรุสเซียก็ยกกำลังลงใต้จากไซบีเรียมาตั้งประจันที่ชายแดนอัฟกานิสถานเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นในเปอร์เซียทั้งอังกฤษและรุสเซียต่างก็เข้าไปลงทุนเพื่อหากำไรอย่างมหาศาลดังนั้นรัฐบาลของทั้งสองชาติจึงสนใจที่เข้าไปสร้างอิทธิพลในเปอร์เซีย
    
      แต่ปรากฏว่าเมื่อปี 1905 เมื่อมีการเลือกตั้งกันใหม่ทั้งสองประเทศจนกระทั่งเปลี่ยนรัฐบาล ประเทศทั้งสองเลยเริ่มหันหน้าเข้าเจรจากัน กระทั่งนำมาสู่การลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรี ระหว่างอังกฤษกับรุสเซียในปี 1907 ในที่สุด โดยมีการตกลงแบ่งเขตเปอร์เซียออกเป็นเขตอิทธิพลระหว่างอังกฤษกับรุสเซียและมีข้อตกลงว่าทั้งสองจะไม่เข้าไปแทรกแซงในทิเบต และรุสเซียก็รับรองอำนาจของอังกฤษที่มีต่ออัฟกานิสถาน
    
      เรียกว่าสนธิสัญญาฉบับนี้ เป็นข้อตกลงที่ไม่ต่างกันกับที่อังกฤษทำกับฝรั่งเศสเอาไว้ นั้นคือเป็นสนธิสัญญาที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า สัญญาการให้อภัยอโหสิต่อกัน นั้นเอง

แผนที่แสดงถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของแต่ละประเทศ
      และเมื่อนาวโน้มของมิตรภาพระหว่างชาติเหล่านี้ดูดีขึ้นแล้วนับแต่ปี 1905 เป็นต้น ทำให้บรรดารัฐบุรุษของทั้งสามชาติต่างพยายามสร้างภาพให้โลกได้ประจักษ์ว่า อังกฤษ ฝรั่งเศส และรุสเซียเป็นพวกเดียวกันแล้ว แม้ไม่ได้มีการลงนามในข้อสัญญาผูกมัดใดๆ ก็ตาม กระนั้น ก็มีความพยายามที่จะสร้างภาพให้ประจักษ์กันโดยเรียกพันธมิตรทั้งสามประเทศว่า ค่ายฉันทไมตรีไตรมิตร ซึ่งถือว่าจะเป็นเครื่องถ่วงดุลค่ายพันธไมตรีไตรมิตร ที่มีเยอรมนี ออสเตรีย และอิตาลีในระยะแรกอยู่
      
      และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัญหาระหว่างชาติที่เกิดขึ้นมาทุกปัญหาก็ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ และยิ่งตกลงกันยากยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งนี้เพราะแต่ละชาติแต่ละประเทศต่างคิดว่าตัวมีกลุ่มอำนาจการเมืองระหว่างชาติหนุนหลังอยู่ทั้งสิ้น และเมื่อเป็นเช่นนี้เองทุกประเทศจึงตั้งมั่นพร้อมที่จะทำสงครามอยู่เสมอ  

   
      และนี่คือที่มาที่ไปของบรรดาการรวมกลุ่มพันธมิตรหรือพันธไมตรีที่เกิดขึ้นมาในระหว่างก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นมา และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วกลุ่มสองกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มที่ทะเลาะกันเองจนสร้างให้สงครามในครั้งนั้นกลายเป็นสงครามโลกไปในที่สุด ----

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น