วิกฤตการณ์ซาราเจโว
สงครามบนคาบสมุทรบอลข่านระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และ
เซอร์เบียนั้นถูกพิจารณาว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ด้วยอิทธิพลของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้เสื่อมถอยและการเจริญเติบโตของลัทธิรวมเชื้อชาติสลาฟและความเจริญขึ้นของลัทธิชาตินิยมภายในประเทศในประจวบกับความเจริญเติบโตของเซอร์เบีย
ซึ่งความรู้สึกต่อต้านชาวออสเตรียอาจจะมีความรุนแรงมากที่สุดจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้นได้ยึดครองแคว้นบอสเนีย-เฮอร์เชโกวินาของจักรวรรดิออตโตมัน
ซึ่งมีจำนวนประชากรชาวเซิร์บเป็นจำนวนมากในปี 1878
และจากนั้นก็ได้ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิของออสเตรีย-ฮังการีในปี 1908
ความรู้สึกรักชาติที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับที่จักรวรรดิออตโตมัน
รัสเซียนั้นได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อการรวมเชื้อชาติสลาฟ
และกระตุ้นโดยมนุษยธรรมและความจงรักภักดีต่อศาสนาและการแข่งขันกับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
|
กัฟริโล ปรินชิป ลอบปลงพระชนม์ |
ในวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 1914
เวลาก่อนเที่ยงเพียงเล็กน้อย
อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ออสเตรีย-อังการี
พร้อมด้วยพระชายา ทรงพระนามโซฟี
ในขณะที่ทรงประทับรถม้าไปตามท้องถนนแห่งนครซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย
อันเป็นการเสด็จเยือนแคว้นนั้นอย่างเป็นทางการ ได้มีชายหนุ่มชาวบอสเนีย
ชื่อกัฟริโล ปรินชิป ใช้ปืนเป็นอาวุธ แหวกฝูงชนที่กำลังเฝ้าเสด็จ
สาดกระสุนสองนัดเข้าใส่พระวรกาย สิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์
จำต้องรู้ก่อนว่าในสมัยนั้นบอสเนียเป็นแคว้นหนึ่งในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
เมื่อเกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ขึ้นมาแล้วในอีก 6
สัปดาห์ต่อมาก็ได้เกิดการรบกันกระทั่งขยายพื้นที่ออกเป็นสงครามโลกในที่สุด
|
กัฟริโล ปรินชิปขณะถูกควบคุมตัว |
กัฟริโล ปรินชิป
เป็นสมาชิกของสมาคมลับที่ชื่อ แบล็กแฮนด์ อันเป็นสาขาของสมาคมลับ แพน-เซิร์บ
ซึ่งมีความรู้สึกด้านชาตินิยมสูงและรุนแรงเกลียดชังชาวออสเตรีย
และอยากจะแยกตนเองออกเป็นเอกราชจากการปกครองของออสเตรีย และรวมชนเผ่าสลาฟเข้าเป็นประเทศเดียวกันภายใต้การปกครองของชาวสลาฟเอง
เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาเช่นนั้น รัฐบาลแห่งจักรพรรดิของออสเตรีย-ฮังการี
ถือว่ารัฐบาลเซอร์เบียได้ปล่อยปละละเลยให้ใรการมั่วสุมสมคบคิดกันต่อต้านรัฐบาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิจนกระทั่งมีผลให้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นมา
ดังนั้นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย-ฮังการีจึงถือเอาโอกาสนั้นในการเข้าไปย้ำยีเซอร์เบียรวมไปถึงการปราบปรามพวกสลาฟที่คอยรบกวนอยู่เสมอ
พร้อมประกาศว่าเซอร์เบียจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด
การประกาศออกมาเช่นนั้นของออสเตรีย-ฮังการี
ในภาวะที่โลกหรือยุโรปในเวลานั้นต่างหันปากกระบอกปืนของกลุ่มเข้าหาและเตรียมพร้อมกันอยู่เสมอตกตะลึงและพร้อมที่จะยกอาวุธขึ้นมาประทับบ่าทันที
กล่าวกันว่าจากการสอบสวนและดำเนินคดีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นสรุปกันว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลออสเตรียไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า
รัฐบาลเซอร์เบียได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการลอบปลงพระชนม์ กระนั้นเคานต์แบคโทลด์
รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรียในเวลานั้นก็ได้แสร้งทำเสมือนหนึ่งว่าออสเตรียมีหลักฐานที่เอาผิดแก่เซอร์เบียและเริ่มลงมือตระเตรียมดำเนินแผนการขั้นต่อไปโดยถามเยอรมนีถึงความช่วยเหลือที่เยอรมนีเคยสัญญาว่าจะให้แก่ออสเตรีย
เยอรมนีตอบว่า
ออสเตรียจะปฏิบัติประการใดต่อเซอร์เบียก็ได้ตามแต่ปรารถนาและเห็นสมควร
และอาจจะรับเอาว่าเยอรมนีสนับสนุนเพราะเยอรมนีเป็นคู่สัญญาร่วมกัน
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ออสเตรียอย่างเต็มที่และโดยตรงนั้นเอง
ดังนั้นเคานต์แบคโทรล์
จึงได้เชิญชวนให้จักรพรรดิฟรานซิส โจเซฟและเคานต์ติสชา
ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของฮังการีเห็นว่าถ้าออสเตรียไม่รีบจัดการเรื่องการลอบปลงพระชนม์แล้วออสเตรียก็จะกลายเป็นเพียงแค่เหยื่อของศัตรูเท่านั้น
การดำเนินการของออสเตรียเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศต่างๆ
ทั่วยุโรปกำลังเงียบเสียงและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก็ปรากฏว่ารุสเซียไม่อาจที่จะนั่งมองและสงวนท่าที่เอาไว้ได้
รุสเซียในเวลานั้นซึ่งก็ติดตามการเคลื่อนไหวของออสเตรียอย่างไม่ละสายตาก็ได้ออกประกาศเตือนออสเตรียว่ารุสเซียจะไม่ยอมนิ่งดูดายให้ออสเตรียรังแกเซอร์เบียได้อย่างแน่นอน
เป็นอันว่าเมื่อประกาศนี้ถูกแถลงออกไปแล้วเหตุการณ์จากที่เป็นแค่เรื่องลอบปลงพระชนม์ก็เริ่มขยายเป็นเรื่องปัญหาทางการเมืองของโลกขึ้นมาทันใดออสเตรียนั้นได้เยอรมนีเปิดไฟเขียวให้แล้วแต่กลับต้องมาเผชิญกับไฟแดงห้ามจากรุสเซียซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจในเวลานั้นด้วยเช่นกัน
แต่ดูเหมือนออสเตรียกำลังเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว
ในเวลาต่อมาออสเตรียจึงเดินหน้ายื่นคำขาดต่อเซอร์เบียโดยมีข้อความสำคัญในคำขาดที่ต้องให้ตอบมาภายในเวลา
48
ชั่วโมง สรุปได้ว่า เซอร์เบียจะต้องยินยอมปราบปรามการพิมพ์ สมาคมต่างๆ
ที่บงการต่อต้านราชวงศ์ที่ครองจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
และให้กำจัดการอบรมสั่งสอนให้ชิงชังออสเตรียซึ่งดำเนินอยู่ตามโรงเรียนต่างๆ
ให้สิ้นซาก ให้ปลดบุคคลที่รัฐบาลออสเตรียไม่ปรารถนาออกจากตำแหน่งข้าราชการฝ่ายทหาร
และให้เซอร์เบียยินยอมให้ผู้แทนออสเตรียเข้าไปทำการปราบปรามทำลายล้างขบวนการต่อต้านออสเตรีย
รวมทั้งให้จับกุมผู้ร่วมคบคิด กันวางแผนเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน
แล้วเวลาก็ดำเนินไป
ก่อนที่จะถึงเส้นตายที่กำหนด
เซอร์เบียก็ได้ใช่คำตอบยอมรับเงื่อนไขที่ออสเตรียเสนอมาเกือบทุกข้อ
ส่วนที่เหลือจากนั้นเซอร์เบียก็ขอให้เสนอเรื่องต่อศาลโลก ณ
กรุงเฮกเพื่อพิจารณาต่อไป
ซึ่งคำตอบของเซอร์เบียที่ออกมานี้เรียกว่าทำให้ทุกฝ่ายสามารถถอนหายใจได้ระยะหนึ่งที่สำคัญมันสร้างความประทับใจให้กับบรรดาประเทศอื่นๆ
ที่เฝ้าคอยจับตาเองอยู่และเริ่มเข้ามาเห็นใจเซอร์เบียมากยิ่งขึ้น
แต่ปรากฏว่าออสเตรียกลับปฏิเสธคำตอบของเซอร์เบียอย่างทันทีทันใดโดยที่ทันทีที่เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำเซอร์เบียได้อ่านคำตอบเสร็จสิ้นลงแล้วเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง
เขาก็เดินทางออกจากกรุงเบลเกรดนครหลวงของเซอร์เบียและประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเซอร์เบียทันที
เรียกว่าประเทศต่างๆ
ต้องตกใจกับปฏิกิริยาของออสเตรียขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่คิดว่าเรื่องนี้จะสามารถจบลงได้อย่างง่ายดายกลับกลายเป็นไม่เข้าใจและมึนงงต่อท่าทีที่เกิดขึ้นมาครั้งใหม่ของออสเตรีย
กล่าวกันว่าบรรดานานาชาติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องและจับตามองอยู่ต่างตกใจเป็นการใหญ่
เพราะต่างฝ่ายต่างคิดเหมือนกันว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามที่หลายๆ ประเทศสำคัญต้องหันมาทำการรบกันเป็นการใหญ่ขึ้นมาแน่
ดังนั้นบรรดาประเทศเหล่านี้จึงไม่อาจนิ่งดูดายได้
ต่างพากันยื่นข้อเสนอเพื่อปัดเป่าสงครามอันอาจจะเกิดขึ้นมาได้นี้
|
ภาพ:พาดหัวข่าวของวันที่ 28 กรกฏาคม 1914 |
โดยลอร์ดเกรย
ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษในเวลานั้น ได้เร่งเร้าให้มีการเปิดประชุมในระดับเอกอัครราชทูตของประเทศที่เกี่ยวข้องขึ้นมาในวันที่
28 กรกฏาคม
แต่ปรากฏว่าเยอรมนีซึ่งเวลานั้นอยากจะเห็นเซอร์เบียถูกลงโทษได้ขอให้ประเทศต่างๆ
ใช้ความพยายามจำกัดเขตสงครามโดยจะให้รบกันเพียงออสเตรียและเซอร์เบียเท่านั้น
ทางออกนี้ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเช่นกัน กระนั้นรุสเซียกลับมองตรงข้ามกัน
กล่าวคือรุสเซียมองว่าถ้าทำเข่นนั้นก็มีค่าเท่ากับพวกที่เกี่ยวข้องได้แต่พากันตีวงนั่งดูออสเตรียเข้าบดขยี้เซอร์เบียเล่นกันอย่างสนุกสนานเท่านั้นเอง
ดังนั้นการเจรจาระหว่างประเทศจึงไม่อาจนำมาใช้แก้ปัญหาในครั้งนั้นได้
และแล้วในวันที่ 28 กรกฏาคม 1914
ออสเตรียประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
|
กองทัพรุสเซีย 1914 (Army Russian) |
เมื่อออสเตรียกระหายสงครามเช่นนั้น รุสเซีย ก็มิอาจนิ่งนอนใจได้
ในวันรุ่งขึ้นรุสเซียก็ได้ประกาศระดมพลของตัวเองทันทีทันใดเช่นกัน
สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมา
พร้อมกับที่ทางเยอรมนีเองก็ดูเหมือนจะเริ่มมองเห็นและเข้าใจถึงความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ดดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ที่มีอยู่ในภูมิภาค
ดังนั้นในเวลานั้นเองพระเจ้าไกเซอร์ของเยอรมนีก็ได้ตรัสสั่งให้อัครมหาเสนาบดีของพระองค์ส่งวิทยุด่วนไปยังกรุงเวียนนา
เพื่อพยายามยับยั้งออสเตรีย
พร้อมกันได้ต่อสายตรงไปขอร้องพระเจ้าชาร์แห่งรุสเซียให้ช่วยพยายามธำรงสันติภาพเอาไว้ให้ได้ก่อน
แต่ปรากฏว่า
ความพยายามนั้นสายเกินไปเสียแล้ว ทั้งนี้เพราะรุสเซียโดยพระเจ้าซาร์ได้สั่งหยุดการระดมพลตามคำขอด่วนของพระเจ้าไกเซอร์ก็จริงแต่เป็นการระงับเอาไว้เพียงวันเดียว
ทั้งนี้เพราะบรรดาคณะรัฐมนตรีของพระองค์ต่างมองเห็นว่า
รุสเซียมัวแต่ชักช้าอยู่อาจจะส่งผลให้รุสเซียต้องเสียหายอย่างมหาศาลในเวลาต่อมาดังนั้นรัสเซียจึงเดินหน้าระดมพลต่อไป
---
นี้คือเรื่องราววิกฤตการณ์ทั้งหมด ก่อนที่จะระเบิดกลายมาเป็นสงครามที่มีวงกว้าง และรุนแรงที่สุดเป็นครั้งแรกของโลก ตอนหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ
ขอขอบคุณเจ้าของความรู้ คุณวีระชัย โชคมุกดา และผู้อ่านทุกคนมากๆครับ ที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ครับ สวัสดี...