สงครามปะทุ
|
หน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ตีพิมพ์เรื่องการลอบปลงพระชนม์ ซึ่งเป็นเหตุนำไปสู่สงครามโลก |
แท้จริงนับได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1
เกิดขึ้นเมื่ออสเตรีย-ฮังการี
ประกาศสงครามกับเซอร์เบียเมื่อวันที่ 26 กันยายน 1914 นั่นเอง
ซึ่งเมื่อออสเตรีย-ฮังการียกทัพเพื่อเข้าโจมตีเซอร์เบียแล้ว
ในวันต่อมารุสเซียก็ได้สั่งระดมพลเป็นบางส่วนมุ่งตรงมายังชายแดนของของจักรวรรดิของออสเตรีย-ฮังการี
กลายเป็นการขยายวงการสงครามออกมาอีกขั้นหนึ่ง
แทนที่จะเป็นเพียงสงครามระหว่างออสเตรีย-ฮังการี กับเซอร์เบีย ก็เริ่มกลายเป็นออสเตรีย-ฮังการี
ต้องมารบกับรุสเซียอีกฝ่ายหนึ่งและเมื่อยับยั้งเหตุการณ์เอาไว้ไม่ได้แล้วเยอรมนีก็เลยต้องประกาศว่าการระดมพลของรุสเซียในครั้งนี้ย่อมหมายความว่ารุสเซียต้องการทำสงครามกับเยอรมนีเช่นกัน
ทั้งนี้เพราะเยอรมนีมีพันธะตามข้อสัญญาอยู่กับออสเตรีย-ฮังการีเดิมอยู่แล้ว
ดังนั้นในวันที่ 1 สิงหาคม 1914
นั้นเองเยอรมนีก็ได้หันไปถามฝรั่งเศสซึ่งเวลานั้นก็ดูเหมือนจะเตรียมตัวและเยอรมนีก็รู้ดีว่าฝรั่งเศสในเวลานั้นมีความสัมพันธ์และเป้นกลุ่มเดียวกับรุสเซียอยู่
โดยถามกับฝรั่งเศสว่าฝรั่งเศสจะมีข้อเสนออะไรต่อสงครามที่เกิดขึ้นมาครั้งนี้บ้าง
ฝรั่งเศสจึงประกาศอย่างท้าทายขึ้นมาทันใดว่า
ฝรั่งเศสจะดำเนินการตามที่ฝรั่งเศสเห็นสมควร นั่นก็คือ
การสั่งระดมพลเพื่อเตรียมช่วยเหลือรุสเซีย
เมื่อเป็นเช่นนั้น
เยอรมนีจึงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยการประกาศทันทีว่าจะทำสงครามกับฝรั่งเศส
โดยประกาศในวันที่ 3 สิงหาคม นั้นเอง
อันที่จริงแล้วแม้จะประกาศสงครามในวันที่ 3 ก็ตาม
แต่เยอรมนีที่ไม่ปล่อยเวลาให้ทันตั้งตัวได้
รีบยกพลเพื่อไปโจมตีฝรั่งเศสนับแต่วันก่อนหน้านั้นแล้ว 1 วัน
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบมากที่สุด
เยอรมนีทำลายกำแพงแห่งปัญหาลงอีกขั้นโดยการยกพลในวันที่ 2
สิงหาคมเข้าไปยึดครองประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งประกาศวางตัวเป็นกลางมาแต่แรก
โดยไม่สนใจคำคัดค้านของผู้ครองเจ้านครเล็กๆ แห่งนี้
ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่อีกประเทศหนึ่งที่เป็นกลาง นั้นคือเบลเยียม
เยอรมนีก็รุกเข้าไปหวังครอบครองในวันที่ 2 ด้วยเช่นกัน เยอรมนีได้ยื่นคำขาด
โดยให้เบลเยียมตอบภายใน 12
ชั่วโมงคือระหว่างหนึ่งทุ่มถึงหนึ่งโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
ว่าเบลเยียมจะยอมอนุญาตให้เยอรมนีเดินทัพผ่านเพื่อไปโจมตีฝรั่งเศสหรือไม่
|
ทหารเยอรมนีกำลังเคลื่อนพลภายในกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม |
ในข้อเสนอและคำขาดที่ว่านั้นมีเงื่อนไขว่า ถ้าเบลเยียมยินยอม
รัฐบาลเยอรมนีจะให้สัญญาว่าจะเคารพในเขตแดนและประชาชนชาวเบลเยียม แต่ถ้าปฏิเสธ
เยอรมนีก็จะกระต่อเบลเยียมเยี่ยงศัตรู
และแล้วคำตอบของเบลเยียมก็ได้รับคำชื่นชม
โดยในครั้งนั้นคำตอบของเบลเยียมมีอย่างเด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่นว่า
ความเป็นกลางของเบลเยียมนั้นมีมหาอำนาจทั้งหลายรวมทั้งเยอรมนีด้วยเป็นผู้ค่ำประกัน
ดังนั้นเบลเยียมไม่ยินยอมให้ผู้ใดละเมิดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะด้วยประการใด ๆ ก็ตาม
ย้อนกลับมามองทางมหาอำนาจอย่างจักรวรรดิบริเทนใหญ่หรืออังกฤษกันบ้าง
เมื่อสงครามปะทุแล้ว ในวันที่ 1 สิงหาคม เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำกรุงลอนดอนได้เข้าสอบถามรัฐบาลอังกฤษจะวางเป็นตัวเป็นกลางในสงครามครั้งนี้หรือไม่
แถมมีเงื่อนไขต่อมาอีกว่าหากอังกฤษประกาศเป็นกลางเยอรมนีก็จะยอมรับความเป็นกลางของเบลเยียมด้วย
แต่ข้อเสนอนี้ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงการแผ่บารมีของเยอรมนีที่อังกฤษหวาดระแวงอยู่แล้วมากเกินไป
ดังนั้นไม่เพียงแต่ปฏิเสธข้อเสนอนั้นเท่านั้น ในวันที่ 2 สิงหาคม
อังกฤษก็ได้ส่งสารถึงฝรั่งเศสโดยบอกและยืนยันว่ากองทัพเรือของอังกฤษจะเข้าช่วยเหลือและป้องกันฝรั่งเศสอย่างเต็มที่ถ้าหากว่าเรือรบของเยอรมนียกเข้ามาทางช่องแคบของอังกฤษหรือมาทางทะเลเหนือ
|
แผนที่แสดงที่ตัังของประเทศเบลเยียม เยอรมนี และฝรั่งเศส |
แล้วอีกสองวันรัฐบาลอังกฤษก็ได้ยื่นคำขาดถึงเยอรมนีในกรณีเยอรมนีกำลังจะรุกเข้าเบลเยียม
โดยที่อัครมหาเสนนาบดีของเยอรมนีก็ได้ตอบกลับว่าเยอรมนีจำเป็นจะต้องเดินทัพผ่านเบลเยียม
ทั้งได้แจ้งผ่านอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเบอร์ลินอีกว่า อังกฤษไม่ควรเข้าร่วมสงครามเพียงเพราะ
“เศษกระดาษชิ้นนิดเดียว”
ซึ่งนั้นหมายถึงสัญญาค้ำประกันความเป็นกลางที่เคยทำขึ้นมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
การกล่าวอย่างดูหมิ่นต่อสัญญาที่ได้ทำขึ้นมาเช่นนี้ของเยอรมนีทำให้อังกฤษไม่อาจนิ่งนอนใจได้
ทั้งนี้เพราะการไม่สนใจและยอมรับในสัญญาที่ตัวเองได้ทำขึ้นเองเช่นนั้นแสดงให้เห็นถึงการไร้คุณธรรมและไม่ถูกต้องตามคำนองคลองธรรม
ภาพของเยอรมนีจึงเสื่อมลงในสายตาของชาวอังกฤษและประชาคมโลกบางส่วน
ประชาชนชาวอังกฤษไม่พอใจการกระทำของเยอรมนี
และให้การสนับสนุนรัฐบาลอย่างเต็มที่ให้กระโดดเข้าร่วมสงครามโลกครั้งนี้
ดังนั้นในวันที่ 1 สิงหาคมรัฐบาลอังกฤษจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีขึ้นมาอีกประเทศหนึ่ง
เรียกว่าอังกฤษประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งนี้แล้ว
ก็นับได้ทันทีว่าบรรดาประเทศมหาอำนาจของโลกเวลานั้นได้เข้าตะลุมบอนกันในสงครามกันเกือบครบแล้ว
บรรดาประเทศเล็กประเทศน้อยที่คอยจับตามองอยู่อย่างหวาดระแวงจำเป็นที่จะต้องเริ่มหันเข้าไปจับมือกับอีกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่ออย่างน้อยก็จะได้มีแนวร่วมในการป้องกันละส่งเสริมซึ่งกันและกัน
มอนเตเนโกร ประเทศเล็กๆ
อีกประเทศหนึ่งก็ได้ประกาศทำสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี
ขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม เป็นประเทศต่อมา
สงครามกำลังลุกลามอย่างต่อเนื่องญี่ปุ่นซึ่งนับเป็นพันธมิตรกับอังกฤษตามสนธิสัญญาที่เคยลงร่วมกันเอาไว้
ก็ไม่อาจนิ่งเฉยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานี้ได้เช่นกัน
แม้จะอยู่ห่างไกลออกไปก็ตามที กระนั้นในเดือนพฤศจิกายน ต่อมาก็ได้ประกาศเข้าร่วมสงครามกับอังกฤษรบกับเยอรมนีด้วย
ความวุ่นวายที่กำลังดำเนินไปนี้ยังไม่มีทีท่าสิ้นสุดเมื่อจู่ๆ
ตุรกีหรือจักรวรรดิออตโตมันก็ประกาศเข้าร่วมกับเยอรมนีเข้าทำสงครามอีกประเทศหนึ่ง
กลายเป็นว่าถึงเวลานี้
กลุ่มเยอรมนี ก็มี เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และตุรกี เรียกกันว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ขณะที่ฝ่ายอังกฤษ ฝรั่งเศส และรุสเซีย จะเรียกว่าฝ่ายสัมพันธมิตร
เพียงชั่วระยะเวลาเพียง 3 เดือน
สงครามครั้งนั้นที่มีฝ่ายมหาอำนาจกลางคือ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี
และตุรกี ต้องเข้าทำสงครามเผชิญหน้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรที่มี เซอร์เบีย รุสเซีย
ฝรั่งเศส เบลเยียม อังกฤษ มอนเตเนโกร และญี่ปุ่น
ซึ่งเวลานั้นอิตาลี
แม้จะมีข้อผูกมัดและสัญญากับกลุ่มมหาอำนาจกลางอยู่ก็ตามแต่เมื่อเห็นว่ามหาอำนาจกลางมีตุรกีก็เข้าร่วมจึงประกาศขอวางตัวเป็นกลางไว้ก่อน
โดยอ้างว่า ในข้อสัญญานั้นมีว่าอิตาลีจะเข้าร่วมหรือช่วยคู่สัญญาต่อเมื่อประเทศคู่สัญญาถูกรุกรานเข้ามาโจมตีต่างหากเท่านั้น
แต่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ประเทศภาคีรุกเข้าไปโจมตีประเทศอื่น
อิตาลีจึงเป็นอิสระอยู่ภายนอกเงื่อนไขของสัญญานั้น
มาถึงเวลานี้ถือว่า
ประเด็นแท้จริงของสงครามก็ได้แสดงตัวออกมาให้เห็นชัดเจนแล้วนั่นเองกล่าวคือหลังสามเดือนเมื่อประเทศต่างๆ
กระโดดเข้าร่วมในสงครามแล้ว ปัญหาต่างๆ
ที่เป็นจุดกำเนิดหรือเริ่มต้นระหว่างออสเตรีย-ฮังการีกับเซอร์เบีย
ก็ค่อยๆ กลายเป็นเรื่องรองที่ถูกสนใจ การแข่งขันกันเป็นปฏิปักษ์ของกลุ่มมหาอำนาจต่างหากที่แสดงตัวให้เห็นอย่างชัดเจนหลังจากจุดชนวนขึ้นมา
ซึ่งมองว่ากันว่าการที่เยอรมนีรีบยกทัพบุกเบลเยียมเพื่อเข้าโจมตีฝรั่งเศส
และอังกฤษต่างหากที่ถือเป็นการรับผิดชอบที่สัมพันธมิตรจะต้องร่วมกันเข้าปราบปรามเยอรมนีที่ก่อสงครามแท้จริง
ขณะที่ฝ่ายเยอรมนีหรือมหาอำนาจกลางนั้นกลับมองว่า
การรุกของเยอรมนีและมิตรประเทศในครั้งนั้น
เป็นการรบกับฝ่ายศัตรูที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างเยอรนีนั้นเอง---